สงครามการค้าถ่วงจีดีพีจีนจ่อโตไม่ถึง6%

สงครามการค้าถ่วงจีดีพีจีนจ่อโตไม่ถึง6%

นายฉิง จ้าวเผิง นักวิเคราะห์จากธนาคารเอเอ็นแซด ระบุว่า เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่จะมีการขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ระดับ 6% ในไตรมาส 3

ข้อมูลทางเศรษฐกิจของจีนตลอดสัปดาห์นี้ (16-20ก.ย.)ไม่สดใสเท่าที่ควร ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญตลอดจนนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินหลายแห่ง วิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวไม่ได้ตามเป้า

นายฉิง จ้าวเผิง นักวิเคราะห์จากธนาคารเอเอ็นแซด ระบุว่า เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่จะมีการขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ระดับ 6% ในไตรมาส 3

“มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่า 6.0% ในไตรมาส 3 แต่เราคาดว่าการลงทุนในสินทรัพย์คงที่จะพุ่งขึ้นในเดือนก.ย. ดังนั้นเราจึงยังคงคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 6.1% ในไตรมาส 3” นายฉิง กล่าว

ที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงในไตรมาสนี้ โดยต่ำกว่าระดับ 6.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี แต่ก็ยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงอ่อนตัวลงต่อไปหรือไม่ ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้านยูบีเอสคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวในไตรมาส 4 ของปีนี้ และไตรมาสแรกของปีหน้า โดยเติบโต 5.5% ในปีหน้า จากระดับ 6.0% ที่คาดไว้สำหรับปีนี้ ขณะที่ได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 6.0-6.5% สำหรับปีนี้ โดยหวังว่ามาตรการกระตุ้นของรัฐจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ขณะที่องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(โออีซีดี)คาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้อยู่ที่ระดับ 6.1% และ 5.7% ในปีหน้า จากระดับ 6.2% และ 6.0% ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ

แม้แต่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ยังยอมรับว่า เป็นเรื่องยากมากๆที่จะรักษาอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ไว้ที่6% หรือมากกว่านี้ เพราะปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศมีหลายด้านและมีความสลับซับซ้อน

นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า จีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ2ของโลก กำลังถูกกดดันจากภาวะขาลงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประกอบกับการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิกีดกันทางการค้า และลัทธิเอกภาพนิยม หรือการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใดแต่เพียงฝ่ายเดียว

ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานทางเศรษฐกิจของประเทศประจำไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ว่าขยายตัว 6.2% ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2535 และลดลงจากไตรมาสแรกซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.4% แต่รัฐบาลปักกิ่งมองว่ายังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือระหว่าง 6.0% ถึง 6.5% ตลอดทั้งปีนี้ ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 6.3% เทียบกับตลอดทั้งปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 6.6%

ไม่ได้มีแต่โออีซีดีเท่านั้นที่ ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของจีน แม้แต่ธนาคารโลก ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนเช่นกัน โดยนายเดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) แสดงความเห็นระหว่างการกล่าวปาฐกถาที่สถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศปีเตอร์สันในกรุงวอชิงตันว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากกว่าที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น

นายมัลพาสส์กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมานั้น ทำให้ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจที่แท้จริงของโลกจะขยายตัวต่ำกว่าที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.6%

ประธานธนาคารโลกระบุว่า สาเหตุของการชะลอตัวส่วนใหญ่มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในประเทศจีน รวมทั้งความอ่อนแอของเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา อินเดีย และเม็กซิโก รวมทั้งการขยายตัวที่น่าผิดหวังของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา

นอกจากนี้ นายมัลพาสส์ ยังกล่าวว่า หลายประเทศในยุโรปกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือใกล้จะถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนีและอังกฤษที่มีความเสี่ยงเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่อิตาลีและสวีเดนกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะงักงันขั้นรุนแรง

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 ลงสู่ระดับ 2.6% ซึ่งลดลง 0.3% จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนม.ค.ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.9% เนื่องจากผลกระทบของข้อพิพาทการค้า ภาวะตึงตัวด้านการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่

ส่วนในปี 2563 นั้น ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ระดับ 2.7%

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าห่วงสำหรับจีน ไม่ได้มีแค่ที่กล่าวมาข้างต้น ภาคการลงทุนและยอดขายในภาคค้าปลีกของจีนก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับแนวโน้มการตัดลดดอกเบี้ยตัวสำคัญๆในสัปดาห์นี้โดยจะถือเป็นการตัดลดฯครั้งแรกในรอบสามปี

ในปีที่แล้ว จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจชุดหนึ่ง แต่ตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจที่แถลงเมื่อไม่นานมานี้ยิ่งตอกย้ำว่าจีนต้องออกมาตรการมากกว่านี้เพื่อต้านความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

อัตราเติบโตผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนส.ค.ร่วงลงอย่างไม่คาดคิด ขยายตัวเพียง 4.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นการชะลอตัวมากที่สุดนับจากเดือนก.พ.2545 โดยร่วงลงจากระดับ 4.8 %ของการขยายตัวในเดือนก.ค.

บรรดานักวิเคราะห์ มีความเห็นว่า รัฐบาลปักกิ่งจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่านี้ เนื่องจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค แม้ว่าโอกาสที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากบรรดาผู้กำหนดนโยบายวิตกกังวลว่าจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และอาจจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตก

หลุยส์ คูอิจส์ จากอ็อกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ คาดการณ์ว่า จีดีพีของจีนจะขยายตัวที่อัตรา 6.1% ในปีนี้และ 5.7%ในปี2563