'ศรีสุวรรณ' ค้านคำขอสงวนสิทธิแจกที่ดินคืน 'ปารีณา'
"ศรีสุวรรณ" ร่อนหนังสือถึงเลขา ส.ป.ก.ค้านคำขอสงวนสิทธิแจกที่ดินคืน "ปารีณา"
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 62 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 62 ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าได้ใช้ประโยชนี่ดินเพื่อเกษตรกรรมบริเวณ หมู่ที่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี และได้ยื่นชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) จำนวน 29 แปลง ซึ่งที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยประสงค์ขอส่งคืนพื้นที่ตาม ภ.บ.ท.5 เพื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดย น.ส.ปารีณา และหรือบุคคลในครอบครองขอสงวนการใช้สิทธิเป็นอันดับแรกตามที่กฎหมายกำหนดนั้น
การขอสงวนสิทธิเป็นผู้รับการจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ดังกล่าวกลับคืนไปให้ น.ส.ปารีณา เป็นอันดับแรกนั้น เลขา ส.ป.ก. ไม่สามารถใช้อำนาจใดๆ ตามคำร้องขอดังกล่าวได้ เนื่องจาก น.ส.ปารีณา ไม่มีคุณสมบัติที่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2518 ประกอบ พ.ร.ฎ.กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเป็นเกษตรกร 2535 ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะได้รับการจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. ได้จะต้องเป็นเกษตรกร ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักเท่านั้น โดยจะต้องเป็นผู้ที่ยากจน หรือจบการศึกษาด้านเกษตรกรรม หรือเป็นบุตรของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง แต่ประสงค์ที่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักเท่านั้น
ทั้งนี้ น.ส.ปารีณา มิได้เป็นผู้ที่ยากจนแต่อย่างใด โดยพิจารณาตามข้อมูลบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช. ล่าสุดจะพบว่ามีรายได้จากเงินเดือนและค่าตอบแทน ส.ส.ถึงปีละ 1,362,720 บาท มีทรัพย์สินรวมแล้วกว่า 163 ล้านบาท และมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2555 ได้กำหนดอัตรารายได้ของผู้ยากจนไว้ คือ ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อคนต่อปีเท่านั้น นอกจากนั้นมิได้เป็นผู้ที่จบการศึกษาด้านเกษตรกรรม และบิดาก็เป็นนักการเมือง เป็น ส.ส. มาหลายสมัย ซึ่งมิได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด แต่หากประสงค์จะได้ที่ดิน ส.ป.ก.อีก ต้องลาออกจาก ส.ส. มาเป็นเกษตรกรเต็มตัวเท่านั้น
ดังนั้น สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำหนังสือส่งไปยังเลขา ส.ป.ก. เพื่อคัดค้านการขอสงวนการใช้สิทธิเป็นอันดับแรกของ น.ส.ปารีณา ดังกล่าวแล้ว และหากยังมีความพยายามที่จะฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อช่วยเหลือกันและกันโดยไม่ดูเจตนารมณ์ของกฎหมาย คนที่จะถูกสมาคมฯยื่นฟ้องเอาผิดเป็นคนแรก คือ เลขา ส.ป.ก.นั่นเอง