“ทรัมป์”โวยถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันอังคาร(10ธ.ค.) ระบุว่า การที่สภาคองเกรสเตรียมถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง ถือเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เนื่องจากเขาเป็นประธานาธิบดีที่มีผลงานในการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความในวันอังคาร(10ธ.ค.) ระบุว่า การที่สภาคองเกรสเตรียมถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง ถือเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เนื่องจากเขาเป็นประธานาธิบดีที่มีผลงานในการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
“ประธานาธิบดีซึ่งผ่านการพิสูจน์จากผลงานมาแล้ว ซึ่งรวมถึงการทำให้สหรัฐมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ และประธานาธิบดีคนนี้ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของสหรัฐ และที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด การถอดถอนประธานาธิบดีคนนี้เกิดจากความบ้าคลั่งทางการเมือง” ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการตุลาการประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐประกาศญัตติเกี่ยวกับการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวันนี้ โดยมี 2 ญัตติ ได้แก่ การใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสภาคองเกรส
คณะกรรมาธิการตุลาการจะลงมติต่อญัตติดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแบบเต็มคณะ
สื่อรายงานว่า คณะกรรมาธิการตุลาการจะลงมติต่อญัตติดังกล่าวในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่การลงมติในสภาผู้แทนราษฎรจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
นายเจอร์โรลด์ แนดเลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการ กล่าวว่า “เรามีหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ และปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ซึ่งแตกต่างจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยการที่เขามีพฤติกรรมกดดันยูเครน ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และคุกคามบูรณภาพของการเลือกตั้งของเรา และตลอดการไต่สวนของเรา ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามปกปิดหลักฐานจากสภาคองเกรส และจากชาวอเมริกัน การที่เขาทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ทำให้เขาละเมิดรัฐธรรมนูญ และเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย และความมั่นคงของชาติ” นายแนดเลอร์ กล่าว
ทั้งนี้ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้เริ่มกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนต.ค. หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เพื่อกดดันให้มีการสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และบุตรชายของเขา ซึ่งมีการทำธุรกิจในยูเครน โดยการกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ
นายไบเดน เป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของปธน.ทรัมป์ หากปธน.ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสกัดนายไบเดนออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ปธน.ทรัมป์ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย