ทางเลือกเก็บเงินไว้ใช้บน 'คาน'
เปิดทางเลือกเก็บเงินไว้ใช้บนคาน หรือเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ตามมีโอกาส "เกษียณสุข" ได้ แม้งบน้อย
“โสด” หรือ “ไม่โสด” อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในการใช้ชีวิต ถ้ามีวางแผนชีวิตที่ดี โดยเฉพาะ “แผนทางการเงิน” ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำทุกคนสามารถครองชีวิตแสนสุขในวัยเกษียณแบบไม่ต้องลำบากใคร
ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน พบว่าคนไทยทั้งที่โสดและไม่โสด มีเพียง 1 ใน 4 สามารถออมเงินได้ในระดับที่ตั้งใจสำหรับการเกษียณอายุ ในขณะที่ 34% กำลังดำเนินการตามแผนการออมที่ตัวเองวางไว้ และ 41% ยังไม่มีแผนการออมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากคนกลุ่มนี้เกษียณอายุ จะต้องพึ่งพารายได้จากผู้อื่นหรือลูกหลาน
ทั้งยังมีการคำนวณคร่าวๆ ว่าคนโสดต้องมีเงินอย่างต่ำ 4-10 ล้านบาท จึงจะเพียงพอสำหรับการดูแลตัวเองหลังจากหยุดทำงานในวัยเกษียณ ประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า “ในความเป็นจริงแล้วควรมีเงินสำหรับเลี้ยงดูตัวเองตอนโสดมากแค่ไหน”แล้วปัญหาใหญ่สุดคือ “จะเก็บเงินเหล่านั้นได้ยังไง”
- วางแผนเกษียณให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
คำถามที่ว่า “ต้องมีเงินแค่ไหนถึงจะพอ” ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ และความพอใจของแต่ละคน สำหรับคนโสดที่อยากมีโหมดไปเที่ยวต่างประเทศคูลๆ ในบั้นปลาย อาจจะต้องใช้เงินมากถึง 10-20 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น สำหรับใครที่อยากมีชีวิตในต่างจังหวัดสบายๆ ชมธรรมชาติ ปลูกผัก เลี้ยงปลาอาจจะใช้เงินไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือน้อยกว่านั้น ก็เป็นไปได้
ใครที่ยังไม่ได้คำตอบให้ตัวเอง ลองคิดด้วยวิธีง่ายๆ ว่าหลังจากเกษียณอายุอยู่คนเดียวโสดๆ “เราอยากใช้เงินเดือนละเท่าไหร่” แล้วคำนวณคร่าวๆ เช่น ตอนนี้อายุ 30 ชีวิตนี้ไม่อยากแต่งงาน ตั้งใจครองตัวเป็นโสดตลอดไป แต่อยากใช้เงินหลังเกษียณเดือนละประมาณ 15,000 บาท ตกปีละ 180,000 บาท ในอีก 25 ปีหลังจากเกษียณอายุ (เสียชีวิตตอนอายุ 85 ปี) ฉะนั้นจำเป็นต้องมีเงินก้อนประมาณ 4,500,000 บาท
“แต่ละคนไม่จำเป็นต้องมีเงินเกษียณเท่ากัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต และความต้องการส่วนบุคคล”
- เตรียมตัวยังไงให้มีเงินพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณ
ตัวเลขเป้าหมายเงินเกษียณสูงลิบ เมื่อเทียบกับรายได้ที่ดูห่างไกล แถมในอนาคตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1-3% ต่อปี (อ้างอิงตามเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี63) เท่ากับว่าเงินจำนวนเท่าเดิมในตอนนี้ จะมีค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งหมายความว่าการออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ หยอดกระปุก หรือฝังดินจึงอาจไม่ใช่ทางรอดในการเตรียมเงินไว้บนคาน
ปัญหายิ่งเก็บเงินยิ่งลดลงเป็นอุปสรรคที่ทุกคนต้องเจอในอนาคต แต่ยังไม่อีกหนทางหนึ่งที่เป็นทางเลือก ที่ช่วยให้ “เงินก้อนเล็กๆ” สามารถเติบโตใกล้เคียงหรือโตมากกว่าเงินเฟ้อในอนาคต นั่นคือ "การลงทุนแบบ DCA ในกองทุน"
- DCA (Dollar-Cost Averaging) ในกองทุน ทางเลือกเตรียมเกษียณ งบน้อยก็เริ่มต้นได้
สาเหตุที่หยิบยกการทำ DCA ในกองทุนขึ้นมาเป็นทางเลือก เนื่องจากเป็นลักษณะการลงทุนที่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินหลักร้อยและหลักพัน มีหลายระดับความเสี่ยงตั้งแต่น้อยจนถึงสูง ซึ่งสามารถเลือกความเสี่ยงที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้
กองทุนรวมคืออะไร?
การลงทุนในกองทุน คือการรวบรวมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไป เพื่อรวมเป็นเงินก้อนขนาดใหญ่ แล้วนำเงินที่รวบรวมนั้นไปกระจายลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ได้ตกลงเอาไว้ ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการกองทุนซึ่งมีหน้าที่ลงทุนแทนเราตามนโยบายของกองทุนที่เราเลือกตามความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถรับได้ ซึ่งกองทุนแต่ละกองจะได้ผลตอบแทนแตกต่างกันไปตามความเสี่ยง ประเภทกองทุน และสถานการณ์ตลาด โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตั้งแต่ 2-12% ต่อปี (ผลตอบแทนแต่ละปีจะแตกต่างกัน ตามประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน สภาวะตลาด และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง)
การรวบรวมตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลังที่เกิดขึ้นจริงของกองทุนประเภทต่างๆ ในการจัดอันดับ Top Fund Performance เว็บไซต์ WealthMagik พบว่า ผลตอบแทนในการลงทุนย้อนหลัง 10 ปี ของกองทุนที่มีความเสี่ยงต่างกันมีสถิติ ดังนี้
- ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนรวมตลาดเงิน 37 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 1.32%-1.74%
- ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง 56 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 1.92%-3.15%
- ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนรวมผสม 68 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 3.31%-12.28%
- ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากกองทุนตราสารทุน 207 กองทุน มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 5.69%-12.88%
จากข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่า การลงทุนระยะยาว ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากกว่าการออมทรัพย์ธรรมดา อย่างไรก็ดี การลงทุนในกองทุนรวมมีทั้งข้อดีและความเสี่ยงที่ต้องระวัง
- ทำไมต้องลงทุนแบบ DCA?
"DCA" (Dollar-Cost Averaging) คือการตั้งระบบลงทุนแบบอัตโนมัติ เป็นงวดๆ งวดละเท่าๆ กัน ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ถ้าราคาหุ้นปรับตัวต่ำลงจะซื้อหน่วยลงทุนได้มากขึ้น และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจะซื้อหน่วยลงทุนได้น้อยลง ซึ่งการซื้อต่อไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนหน่วยลงทุนที่เราซื้อให้เท่าๆ กัน ทำให้ไม่ต้องมาคอยเฝ้าราคาขึ้นๆ ลงๆ ของกองทุน แถมมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหาร ทำให้ไม่ต้องมานั่งเฝ้าตลาดหุ้นด้วยตัวเอง
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนแบบ DCA
- ช่วยตัดอารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจลงทุนออกไป
- ลดความเครียด
- ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่
- ทำให้มีวินัยในการลงทุน ไม่หลงไปกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น ๆ
ข้อด้อยของการลงทุนในกองทุนแบบ DCA
- มีความเสี่ยงตามประเภทของกองทุน
- ใช้ระยะเวลาการลงทุนยาว
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรากฏสถิติที่น่าสนใจว่า การลงทุนระยะยาวด้วยวิธีการแบบ DCA ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการลงทุนแบบจับจังหวะ หรือเก็งกำไร แถมสามารถเริ่มต้นได้จากเงินจำนวนน้อยๆ ด้วย (เริ่มต้นได้ตั้งแต่ 500 บาท ตามนโยบายแต่ละกองทุน)
- ตัวอย่างการลงทุนในกองทุน แบบ DCA
นางสาว A อายุ 20 ปี เตรียมเปย์ตัวเองในบั้นปลายชีวิต โดยหักเงิน 20% ของเงินเดือน 15,000 บาท เป็นเงิน 3,000 บาท มาลงทุนในกองทุนทุกๆ วันที่ X ของเดือน อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาเป็นระยะเวลา 40 ปีจนเกษียณ (อายุ 60 ปี) จะมีโอกาสได้เงินก้อนสำหรับใช้ในช่วงเกษียณ ดังตารางต่อไปนี้
สำหรับผู้ที่สนใจจะลองคำนวณการสะสมเงินเกษียณแบบ DCA สามารถทำได้ที่ โปรแกรมคำนวณเงินฝากของ ศคง.
- พลังดอกเบี้ยทบต้น
สาเหตุที่วิธีลงทุนแบบ “DCA ในกองทุน” เติบโตขึ้นจนไปถึงเป้าหมายได้ คือพลังแฝงที่เรียกว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” ที่จะทำให้ดอกเบี้ยในแต่ละปีในระยะยาว รวมกับเงินต้นที่มีอยู่เดิมกลายเป็นเงินต้นก้อนใหม่ และเมื่อเวลาผ่านไป เงินต้นก้อนใหม่จะถูกพอกด้วยดอกเบี้ยที่ได้รับของปีถัดไปเรื่อยๆ ทำให้ผลลัพธ์ในตอนท้ายกลายเป็นก้อนใหญ่หลักหลายล้านได้
ทว่า กฎเหล็กของการเก็บเงินแบบ DCA คือ “วินัย” ที่ต้องลงทุนสม่ำเสมอ และ “ความอดทน” ที่จะต้องทำต่อเนื่องเป็นระยะเวลาร่วม 10 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นอุปสรรคโหดหินที่ทำให้หลายคนที่แม้จะคำนวณเก่ง วางแผนดี แต่พอถึงเวลาลงมือทำ ก็ถอนตัวตั้งแต่ยังไม่พ้นปีแรก
สังเกตได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนเท่ากัน ยิ่งมีจำนวนปีในการลงทุนนาน การลงทุนที่ใช้ระยะยาวนานกว่าจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก ซึ่งเป็นข้อยืนยันประโยคที่ว่า “ออมก่อน รวยกว่า”
ใครที่แข็งใจเริ่มต้นเก็บเงินไม่ได้สักที ลองใช้สูตร "เงินที่ไม่เห็น คือเงินที่ไม่ได้ใช้" หักเงินส่วนที่ต้องการเก็บหรือเงินที่จะลงทุนทันทีที่เงินออก "เงินเดือน - เงินเก็บ = เงินสำหรับใช้จ่าย"
ความเป็นจริงแล้ว วิธีการลงทุนสม่ำเสมอแบบนี้สามารถทำได้ทุกคน ทั้งรู้ตัวว่าจะโสด เพิ่งโสด หรือแม้แต่คนไม่โสดก็จงเตรียมตัวเป็นโสดอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคู่ เราก็มี “เงิน” ซับพอร์ตชีวิตเราอยู่แบบไม่ลำบาก แต่ถ้าพรหมลิขิตเหวี่ยงคู่มาให้เราก็ถือว่าเงินส่วนนี้เป็นส่วนตัวเผื่อฉุกเฉินได้แบบสบายๆ
นอกจากหลักในการเก็บเงินก้อนใหญ่ด้วยการลงทุนแบบ DCA แล้ว ยังมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ควรทำควบคู่กันให้เป็นนิสัย ที่ช่วยส่งเสริมให้สามารถบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
“ทำรายรับ-รายจ่าย” ยังคงเป็นวิธีการบริหารเงินสุดคลาสสิกที่ได้ผล และมีประโยชน์มากว่าเราเสียเงินไปกับอะไรบ้าง หลายคนจินตนาการการทำรายรับ รายจ่าย ต้องตีตารางใส่สมุดหรือนั่งจดให้เสียเวลา แต่ความเป็นจริงสามารถทำง่ายๆ จดในโทรศัพท์มือถือ หรือทำผ่านแอปพลิเคชันทำรายรับรายจ่ายที่ให้บริการได้ เช่น Money Lover: Expense Tracker, Weple Money เป็นต้น
“ไม่สร้างหนี้ที่ไม่จำเป็น” การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าไม่สามารถบริหารจัดการหนี้ และการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกันได้ความพินาศจะมาเยือน พยายามควบคุมไม่ให้มีหนี้เกิน 20-30% ของเงินเดือน และหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ที่ไม่จำเป็น อย่างหนี้อุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว เพราะหากยังมีหนี้หลังเกษียณ คุณอาจจะต้องทำงานเพื่อหาเงินใช้หนี้ไปตลอดชีวิต สวนทางกับสุขภาพที่เสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ ก็เป็นได้
“ฟุ่มเฟือยได้ แต่อยู่ในกรอบ” คนโสดหลายคนเลือกที่จะใช้เงินปรนเปรอความสุขของตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน แต่หลายคนพังเพราะใช้เงินแบบพอดีตัว เดือนชนเดือนจนไม่เหลือเผื่อตัวเองในอนาคต ทางที่ดีที่สุดคือ การสร้างกรอบในการฟุ่มเฟือยให้กับตัวเองแบบพอเหมาะเช่น หักออกมาใช้ส่วนนี้ไม่เกิน 10% ของเงินเดือน เพื่อควบคุมการใช้เงินตัวเองแบบหลวมๆ ช่วยให้บริหารจัดการการออมได้ง่ายขึ้น
“ใส่ใจสุขภาพ” มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอซื้อสุขภาพที่ดีกลับมา เรื่องสุขภาพจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องโฟกัส และเจียดเงินมาดูแลสุขภาพควบคู่ไปกับการสร้างคานทองที่แข็งแรง หมั่นดูแลสุขภาพ บริหารจัดการเวลาในการทำงานมาดูแลตัวเองเพื่อให้สุขภาพทางการเงิน และสุขภาพทางกายแข็งแรงไปพร้อมๆ กัน
ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจครองโสดไปตลอดชีวิต ไม่เจอคนที่ถูกใจสักที หรือมีชีวิตคู่แล้วก็ตาม วิธีการสะสมเงินแบบนี้ก็ใช้ได้ทั้งนั้น เพราะวิธีการทั้งหมดทั้งมวลนี้คือการวางแผนเกษียณรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ “ควรทำ” ก่อนที่มันจะสายเกินไป...เพราะ “ความเสี่ยง” ที่ใหญ่หลวงที่สุดคือ “การไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย” (Mark Zuckerberg) ดังนั้น ลองหาโอกาสศึกษาข้อมูลรับความเสี่ยงที่เหมาะกับตัวเอง เปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น
ที่สำคัญที่สุด ก่อนที่ตัดสินใจลงทุน อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนที่จะลงทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุน หุ้น หรือความรัก ก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น
อ้างอิง: WealthMagik ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย