คนไทยเสี่ยงเป็นโรค 'ไข้หูดับ' แค่ไหน?

คนไทยเสี่ยงเป็นโรค 'ไข้หูดับ' แค่ไหน?

โรคไข้หูดับ โรคอุบัติใหม่ที่ถ่ายทอดจากหมูสู่คน โดยการการกินหมู แล้วคนไทยจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้แค่ไหน วันนี้มีคำตอบ

"โรคไข้หูดับ" พบในประเทศไทยมาราว 50-60 ปีแล้ว พบบ่อยช่วงฤดูร้อน แต่ปัจจุบันความชุกในการเกิดโรคมีเพิ่มขึ้น หรือเรียกว่า "อุบัติใหม่ (Emerging)" ดังนั้นผู้บริโภคจะเตรียมพร้อมรับมือการปนเปื้อนในเนื้อหมูที่ซื้อมาทำอาหาร ที่จะมีความปลอดภัยหรือความเสี่ยงจากเชื้อชนิดนี้แค่ไหน

รศ..สพ.ดร.ศุภชัย เนื้อนวลสุวรรณ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้ว่า เชื้อที่ก่อโรคไข้หูดับเกิดจาก S.suis 2-3 สายพันธุ์ โดยเฉพาะ type 2 ซึ่งส่วนใหญ่พบในสุกรเป็นหลัก เชื้อชนิดนี้มักจะไม่ก่อโรคในหมู แต่จะก่อโรคในคน และสามารถถ่ายทอดจากหมูสู่คนผ่านการบริโภคผลิตภัณฑ์สุกรได้

157931680391

ซึ่งโอกาสการติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในโรงฆ่าสัตว์จนถึงตลาดสด ในประเทศไทยมีข้อมูลในความเสี่ยงของโรคชนิดนี้ โดยเฉพาะส่วนค้าปลีกที่จะส่งถึงมือผู้บริโภคอยู่น้อยมาก เพราะในทางสัตวแพทย์จะมีการตรวจที่ฟาร์ม ที่โรงเชือด แต่ยังไม่มีการตรวจที่เนื้อสุกร

พื้นฐานการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) ด้านสุขอนามัย คือ การแปลงผลจากห้องปฏิบัติการ สู่การกินดีอยู่ดีของคนเรา เช่น รับประทานแล้วป่วยหรือไม่ โดยความเสี่ยงจะรายงานเป็นสัดส่วนผู้ป่วยต่อจำนวนประชากรที่มีรับประทานผลิตภัณฑ์สุกรที่ปนเปื้อน ข้อดีของข้อมูลลักษณะนี้ คือ สามารถสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนรวมถึงสังคมโดยรอบในประเด็นความเสี่ยงของผู้บริโภค เพื่อการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดรศ..สพ.ดร.ศุภชัย อธิบายเพิ่มเติม

ทีมวิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างเนื้อสุกรทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ (น่าน เชียงใหม่ และพะเยา) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น และ มุกดาหาร) ภาคกลาง (สระบุรี และ นครปฐม) และภาคใต้ (พังงา) ทั้งจากโรงเชือดและแหล่งค้าปลีก ทั้ง ตลาดสด  ตลาดนัด แผงค้า รถเข็น และ ตลาดทันสมัย (Modern market)

โดยใช้การประเมินความเสี่ยง 4 ขั้นตอน ได้แก่

  • การระบุอันตราย (Hazard identification) เพื่อศึกษาพฤติกรรมต่าง ของเชื้อ
  • การอธิบายอันตราย อันตราย (Hazard characterization) เพื่อประเมินความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสป่วยมากน้อยแค่ไหน เมื่อมีการรับเชื้อก่อโรค
  • การประเมินการสัมผัส (Expose assessment) ว่าได้เชื้อมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับปัจจัย 2 หลักคือ ปริมารการบริโภค และความเข้มข้น หรือ ปริมาณเชื้อที่อยู่ในอาหาร
  • การอธิบายความเสี่ยง (Risk characterization) เพื่อประเมินความเสี่ยง หรือโอกาสป่วยจากการบริโภคเนื้อสุกรจากแหล่งนั้น ซึ่งจะมีการจำลองเหตุกาณ์ซ้ำอย่างต่ำ 10,000 รอบ

แม้จะไม่ปรากฏการปนเปื้อนเชื้อสายพันธุ์ก่อโรคก็ตาม แต่ถ้าหากพิจารณาในกรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst case scenario) พบว่าค่าประมาณความเสี่ยงของผู้ป่วยจาก S.suis และเป็นโรคไข้หูดับผ่านการบริโภคเนื้อสุกรนั้น ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ 13 คน (ต่อประชากร 100,000 คน/ปี) ตามมาด้วยภาคกลาง 6 คน (ต่อประชากร 100,000 คน/ปี), ภาคเหนือ 1 คน (ต่อประชากร 100,000 คน/ปี) และภาคใต้น้อยสุดที่ 0.1 คน (ต่อประชากร 100,000 คน/ปี)

157931688385

ซึ่งเมื่อลองคำนวณจากจำนวนประชากรของไทยแล้ว จะพบว่าความเสี่ยงของผู้ป่วยที่มีโอกาสติดเชื้อและเป็นโรคไข้หูดับผ่านการบริโภคเนื้อหมูนั้นมีจำนวนหลักร้อยถึงหลักพันคนในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวมาจากการจำลองเหตุการณ์ และใช้ข้อมูลบางส่วนจากเชื้ออื่นข้างเคียง ดังนั้นจำเป็นต้องมีการทำวิจัยเพิ่มเติมเชิงลึกต่อไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น

รศ..สพ.ดร.ศุภชัย กล่าวว่า ตัวเลขที่ได้ทำให้สังคมเห็นความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค เนื่องจากเนื้อหมูเป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทาน โดยประเด็นความปลอดภัยทางด้านอาหารต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจากหลายภาคส่วน ตัวผู้บริโภคเองพึงบริโภคผลิตภัณฑ์สุกรที่ผ่านความร้อนหรือสุกทั่วถึงกัน ใส่ใจสุขอนามัยส่วนตัว (Personal hygiene) เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้เอง โดยใช้หลักง่ายๆ ในการรับประทานอาหาร คือ กินร้อนช้อนกลาง และ เก็บอาหารร้อนให้ร้อน เก็บอาหารเย็นให้เย็น (Keep hot food hot – keep cold food cold) เช่น แกงควรอุ่นให้ร้อนพอเป็นระยะๆ นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตควรใส่ตู้เย็น เป็นต้น

นอกจากประเด็นเรื่องไข้หูดับแล้ว ทางหน่วยปฏิบัติการวิจัย "ศูนย์ความเสี่ยงอาหาร" ก็ยังมีงานวิจัยด้านความเสี่ยงอาหารอื่นๆ ที่มุ่งเน้นบทบาทการประเมินความเสี่ยง และให้ข้อเสนอแนะด้านการจัดการความเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผู้บริโภค และการสื่อสารความเสี่ยงแก่องค์กรที่เกี่ยวข้องด้วย

ทั้งนี้การประเมินความเสี่ยงนั้นเป็นการสื่อสารจากปลายทาง คือ จะเกิดผลอะไรหากปัญหานั้นไม่ถูกแก้ไข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการตรวจย้อนตั้งแต่ต้นทางเพื่อแก้ปัญหานั้นๆ โดยเฉพาะปัจจุบันมีโรคจากสัตว์สู่คนที่มีบทบาทต่อสุขภาพคนมากขึ้น การเลี้ยงสัตว์นั้นมีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมแต่เชื่อมโยงต่อมาถึงคนเป็นสามประสาน แนวทางการจัดการเรื่องสุขภาพคนให้มีประสิทธิภาพจึงควรพิจารณาสุขภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพสัตว์ซึ่งส่วนหนึ่งก็กลายมาเป็นอาหารคนด้วย เพื่อนำสู่การมีสุขภาพที่ดีโดยองค์รวม

157931694167