'ไอเอ็มเอฟ'คาดอีก5ปีชาวจีนมีรายได้แซง56ชาติ
'ไอเอ็มเอฟ'คาดอีก5ปีชาวจีนมีรายได้แซง56ชาติ และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะได้เห็นรายได้ต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้น 6 เท่าในช่วงปี2568 สวนทางกับลาตินอเมริกา แคริเบียน ตะวันออกกลางและเอเชียกลาง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)เผยแพร่รายงานคาดการณ์ล่าสุดที่บ่งชี้ว่าในอีก5ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจะทำให้รายได้ต่อหัวประชากรจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนแซงหน้าประเทศต่างๆ 56 ประเทศ โดยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของไอเอ็มเอฟเมื่อเดือนที่แล้ว ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กนำมาวิเคราะห์ ระบุว่า ในปี2568 ชาวจีนจะมีรายได้สูงขึ้นอยู่ในอันดับที่70 ของโลกเกือบเข้าไปอยู่ในกลุ่มชาติมั่งคั่งที่สุดของโลก ที่มีสัดส่วนหนึ่งในสาม
ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียรายนี้จีดีพีต่อหัวประชากรที่ได้รับการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการเท่ากับ 25,307 ดอลลาร์ในปี 2568 ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าอาร์เจนตินา หนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลกในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาแต่ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีแต่หนี้และกำลังเผชิญวิกฤตอัตราแลกเปลี่ยน
“จิม โอนีล”อดีตหัวหน้าแผนกวิจัยเศรษฐกิจโลกของโกลด์แมน แซคส์ อิงค์ ที่โด่งดังในฐานะเป็นผู้ใช้ตัวย่อ“BRIC”เรียกกลุ่มนี้ เพราะประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน เมื่อปี 2544 กล่าวเอาไว้ว่ากลุ่มบริคจะใหญ่กว่ากลุ่มชาติร่ำรวย7ประเทศ หรือจี-7 เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มมีทั้งจีนและอินเดีย
ในรายงานของไอเอ็มเอฟที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กนำข้อมูลมาวิเคราะห์ พบข้อมูลที่น่าสนใจที่สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรายได้ต่อหัวประชากรในยุโรปตะวันออกและกลุ่มประเทศในเอเชีย เช่นกรณีของเติร์กเมนิสถาน ที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจะเป็นประเทศเดียวที่ไต่ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีกว่าจีน เช่นเดียวกับอาร์เมเนีย จอร์เจีย เวียดนามและบังกลาเทศก็อันดับดีขึ้น
ในภาพรวม ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะได้เห็นรายได้ต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้น6เท่าในช่วงปีดังกล่าว สวนทางกับภูมิภาคลาตินอเมริกา และแคริเบียน ตะวันออกกลางและเอเชียกลางที่ไม่คิดว่ารายได้ต่อหัวประชากรจะเพิ่มถึงสองเท่าด้วยซ้ำ
ในบรรดาชาติเศรษฐกิจมั่งคั่ง7ประเทศ อัตราเฉลี่ยของจีดีพีต่อหัวประชากรจะเริ่มตั้งแต่ 31,471 ดอลลาร์จนถึง 64,582 ดอลลาร์ในปี 2568 โดยอิตาลีเป็นเพียงประเทศเดียวที่อันดับร่วงลงมาอยู่ที่ 35 จากอันดับ21
ส่วนสหรัฐอันดับดีขึ้น โดยเมื่อปี 2543 อยู่อันดับที่ 11 มีจีดีพีต่อหัวประชากรอยู่ที่ 36,318 ดอลลาร์แต่ปีนี้มีแนวโน้มว่าจะขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่9 สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดาที่คาดการณ์ว่าจะร่วงลง6อันดับไปอยู่อันดับที่ 24 และเม็กซิโก ติดกลุ่มประเทศที่มีจีดีพีต่อหัวประชากรต่ำสุด อันดับร่วงลงไป 26 ขั้นไปอยู่อันดับที่77 ภายในปีดังกล่าว
ขณะที่เศรษฐกิจของภูมิภาคลาตินอเมริกา และแคริเบียนขยายตัวต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของภูมิภาคอื่น เพราะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ในปีนี้ โดยเฉพาะเวเนซุเอลา ที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า จีดีพีต่อหัวประชากรในปีนี้จะทรุดหนักโดยดิ่งลง36% จากเมื่อปี 2543
ด้านเฮติ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากความเสียหายเพราะผลพวงของแผ่นดินไหวเมื่อ10ปีก่อน แม้ว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือหลายพันล้านดอลลาร์ โดยไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่าเฮติจะอยู่ที่อันดับ 183 จาก191 ประเทศที่ถูกจัดอันดับครั้งนี้ โดยอันดับของเฮติร่วงลงจากอันดับที่ 159 เมื่อปี 2543 และเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับต่ำสุดในซีกโลกตะวันตก
ในกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียที่ติดกลุ่มประเทศมั่งคั่งที่สุดของโลกเมื่อเปลี่ยนศตวรรษ กลับมีอันดับร่วงลงถ้วนหน้าเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่บาห์เรน คูเวต โอมาน และซาอุดิอาระเบีย หลุดออกจากกลุ่มท็อป 20 ขณะที่มาตรฐานการดำเนินชีวิตหยุดนิ่งอยู่กับที่หรือไม่ก็ลดลงอย่างมาก
ส่วนประเทศอื่นในภูมิภาคก็บอบช้ำอย่างหนักจากสงครามและปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ส่งผลให้อันดับของลิเบีย ซีเรียและเยเมนร่วงลงอย่างหนัก และในเลบานอน สถานการณ์เลวร้ายมากจนไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่าจีดีพีประเทศนี้จะหดตัวมากถึง25% เฉพาะในปีนี้เพียงปีเดียว แน่นอนว่า สถานการณ์แบบนี้ ไอเอ็มเอฟ ย่อมหั่นคาดการณ์รายได้ต่อหัวประชากรสำหรับประเทศในตะวันออกกลางในปี2568อย่างแน่นอน
ขณะที่ประเทศซับ-ซาฮาราแอฟริกา ยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าอย่างมากแม้บางประเทศจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้ว โดยเมื่อปี 2543 จีดีพีต่อหัวประชากรในซีเชลส์และกาบองอยู่ที่ 10,000ดอลลาร์ แต่คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 จะมีกว่า6ประเทศที่มีจีดีพีต่อหัวประชากรเท่ากับหรือเกินกว่า10,000 ดอลลาร์
ส่วนในเอเชีย มาตรฐานการดำเนินชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เริ่มจากจีน จีดีพีต่อหัวประชากรตั้งแต่ปี 2543-2549 เพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าและไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า ภายในปี 2567 จีดีพีต่อหัวประชากรของจีนจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ทำให้อัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยในช่วง25ปีอยู่ที่ 9.1%
ขณะที่มาเก๊าและสิงคโปร์จะขยับขึ้นไปอยู่ในกลุ่มท็อป3ประเทศที่มั่งคั่ง รวมอยู่กับลักเซมเบิร์ก โดยในปี2549 จีดีพีต่อหัวประชากรของสิงคโปร์แซงหน้าสหรัฐ และไอเอ็มเอฟยังคาดการณ์ว่ามีเพียง4ประเทศจากชาติเศรษฐกิจใหญ่สุด50 ประเทศที่มีจีดีพีต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้นนั่นคือ เวียดนาม ไต้หวัน อียิปต์และจีน ซึ่งสำหรับเวียดนามและไต้หวันนั้นน่าจะเป็นเพราะอานิสงส์จากการเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของโลก