"จตุพร"ชี้ซักฟอก"ประยุทธ์"โยงสถาบันยุ่งแน่-เชื่อรบ.ออกแรงต้าน

"จตุพร"ชี้ซักฟอก"ประยุทธ์"โยงสถาบันยุ่งแน่-เชื่อรบ.ออกแรงต้าน

"จตุพร"ชี้ซักฟอก"ประยุทธ์"โยงสถาบันยุ่งแน่-เชื่อรบ.ออกแรงต้าน เตือนไม่ได้อภิปรายฯ แนะคิดแผนหาทางออก อาจได้แต่ประชุมลับ ชี้ทุกข์ยากประชาชนจะกำหนดอนาคตในทุกเรื่อง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองในรายการพีซ ทอล์ค โดยระบุว่า การกำหนดจังหวะย่างก้าวของแต่ละฝ่ายนั้นยาก และสถานการณ์ต่อไปนี้ก็จะมีความยากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่เป็นปมร้อนขึ้นมาในช่วงนี้ คือ การร้องขอให้แก้ไขญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติไม่แก้ไขญัตติดังกล่าว

ส่วนปัญหาในญัตติที่ซีกรัฐบาลเรียกร้องให้มีการแก้ไขนั้นคือ ข้อกล่าวหาที่มีต่อนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเมื่อฝ่ายค้านยืนยันว่าไม่แก้ไขญัตติ ในทางปฏิบัติก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เมื่อคิดฝ่ายเดียวนั้นหลายอย่างดูเสมือนเรียบง่าย ไร้ปัญหา เเต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งคิดแบบดังๆว่า จะมีมาตรการตอบโต้

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าเมื่อ เปิดประชุมสภาพิจารณาในญัตติดังกล่าว ซึ่งก่อนที่ผู้นำฝ่ายค้านจะเริ่มต้นอภิปราย อ่านร่างญัตติ ชำแหละเรื่องราว แต่ในทางปฏิบัติตนเชื่อว่าก่อนที่จะมีการประชุมก็อาจจะมีการออกแบบโดยซีกรัฐบาล เช่น การยื่นร้องผ่านประธานสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างญัตติดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ขณะเดียวกัน ก็มีแนวคิดเรื่องมวลชนปกป้องสถาบันที่ซีกรัฐบาลคิดไว้ดังๆ ดังนั้นนอกสภาจะเต็มไปด้วยความโกลาหล หากอีกซีกหนึ่งมาพร้อมกัน ในสภาก็จะมีความยากลำบาก ดังนั้นตนเชื่อว่า เมื่อเริ่มเปิดประชุมฝ่ายรัฐบาลก็จะขอให้รอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีการยื่นไปก่อน แต่หากไม่มีการยื่นกันก่อนก็จะมีการยื่นในวันนั้น

“ดังนั้น การอภิปรายก็จะเดินต่อไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามหากเกิดกรณียอมให้มีการอภิปรายและทันทีที่เข้าเนื้อหา อาจจะมีการขอให้ประชุมลับ สุดท้ายการอภิปรายที่จะสื่อสารไปยังประชาชนก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการอภิปรายในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยาก และโกลาหล”

นายจตุพร เทียบเคียงกรณีของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เมื่อครั้งอภิปรายเรื่องถวายสัตย์ฯไม่ครบ ซึ่งท้ายที่สุดไม่ได้อภิปรายและกลายเป็นสีสันในการประชุม และสร้างได้เพียงการระบาดทางอารมณ์เท่านั้น

อีกอย่าง หากฝ่ายค้านคิดว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องที่ประชาชนได้ติดตามจำนวนมากภายใต้สถานการณ์ที่บรรยายถึงความทุกข์ยากของราษฎร รวมถึงการทุจริตคอรัปชั่น โดยลำดับความให้เห็นว่าผู้ปกครอง ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีที่มีรายชื่อถูกอภิปรายมีพฤติกรรมตามข้อกล่าวหาจนกระทั่งประชาชนรับไม่ได้ นั่นคือพลัง พลานุภาพ ในการอภิปรายครั้งนี้ เพียงแต่ถัดจากนี้ไป ที่ตนบอกว่ายากนั้น การอภิปรายจะเกิดขึ้นหรือไม่

นายจตุพร กล่าวถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า แม้กรรมาธิการจะส่งสัญญาณดังๆ เกี่ยวกับที่มา ของส.ส.ร.จากเดิมร่างของซีกรัฐบาลกำหนดที่มาของ ส.ส.ร.ให้เลือกตั้ง 150 แต่งตั้ง 50 คน ส่วนของฝ่ายค้านกำหนดให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจำนวน 200 คน แต่วันนี้ตรงกันว่าให้มีการเลือกตั้งทั้งหมด ดังนั้นหากเดินไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ซึ่งอาจจะผ่าน แต่ระหว่างทางก็ไม่ง่ายเพราะยังมีอีกหลายขั้นตอน

ส่วนกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่ง ซึ่งวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในทางการเมืองตนกับนายเทพไทเป็นคู่วิวาทะกันคู่หนึ่ง แต่ในทางความรู้จักก็เป็นศิษย์สถาบันเดียวกัน คือ รามคำแหง เจอหน้าก็ทักทายกันตามปกติ ต่างคนต่างทำหน้าที่เหมือนอย่างที่ตนเคยบอกไว้ว่า ไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตามหลังศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกและตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีนั้นก็มีการร้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าในคดีทุจริตการเลือกตั้ง อบจ.ของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีผลให้พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันว่าเเม้เป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกเว้นเกี่ยวกับหมิ่นประมาท ที่เหลือคือให้พ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยไม่รอให้คดีถึงที่สุด

ส่วนการเลือกตั้งซ่อมใน เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช หากดูผลคะแนนตั้งแต่อันดับ 1 ถึง 3 เป็นพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า การเเข่งขันในเขตภาคใต้เป็นการแข่งขันของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะในจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็เป็นเรื่องระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐ

"ในสนามนี้ที่คะแนน ห่างกันเพียง 4 พันกว่าคะแนน ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐก็ไม่ถอยในสนามนี้ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เองก็พยายามจะทวงมารยาททางการเมืองก็จะเป็นสนามหนึ่งในการแข่งขัน แต่มองว่าไม่ถึงขั้นสร้างความร้าวฉานถึงขนาดถอนตัว"

ดังนั้นเรื่องราวการวิเคราะห์ทางการเมืองนั้นก็ยังเป็นกระดานการเมืองแบบปกติ แต่ตนเชื่อว่าสถานการณ์การวิวัฒนาการต่อไปนี้จะไม่ใช่ลักษณะการเมืองที่เป็นปกติ เพราะด้วยสภาพต่างๆที่แลเห็นนั้น เราหาอนาคตกันไม่เจอ ดังนั้นในแต่ละเรื่องราวความยากจน ความเดือนร้อนของประชาชนจะเป็นตัวกำหนดทุกเรื่อง และมองว่า ท้องซึ่งหมายถึงความหิว จะเป็นตัวกำหนดการเมืองกันในรอบนี้

นอกจากนี้ นายจตุพรกล่าวด้วยว่าเมื่อวานนี้ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยคดีที่บริษัทพีซ เทเลวิชั่นและบรรดาผู้ประกาศยื่นฟ้อง คณะกรรมการ กสทช.เป็นจำเลย โดยศาลได้วินิจฉัยให้ผู้ถูกร้อง คือ กสทช.ชดใช้เงินเป็นจำนวน 1,680,000 บาทพร้อมอัตราดอกเบี้ย 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากสั่งยุติการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์พีซทีวี

ดังนั้นทุกอย่างคือความยากลำบากและขอบคุณศาลปกครองกลาง อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า กสทช.จะยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นขวัญกำลังใจเล็กๆ ของสถานีโทรทัศน์ช่องเล็กๆช่องหนึ่งที่ต้องอยู่ในมรสุมกันมายาวนาน เพราะ เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ถูกสั่งระงับการออกอากาศมากที่สุดในโลก