จับตา'พรรคพลัง'ผสม 2 ขั้ว เปิดตัวโลโก้-ลุ้นหัวหน้าใหม่

จับตา'พรรคพลัง'ผสม 2 ขั้ว    เปิดตัวโลโก้-ลุ้นหัวหน้าใหม่

“พรรคพลัง” เปิดตัว โลโก้ พ.พานชูกำปั้น หลัง “สปน.” ไฟเขียว ใช้แถบสีธงชาติได้ สโลแกน “พรรคพลังหัวใจคือโอกาสของประชาชน” จ่อประชุมใหญ่ 9 พ.ค. วางตัว 36 กก.บห. แย้มโปรไฟล์หัวหน้าพรรค ดร.ด้านกฎหมาย ผ่านการเมืองระดับชาติยังอยู่ในราชการ ดึงอดีต ส.ส.เพื่อไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวพรรคการเมืองที่น่าสนใจ ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลัง ประจำเดือน ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา มีวาระการประชุมที่น่าสนใจ คือ ประธานที่ประชุมแจ้งผลมติคณะกรรมการธง สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อนุญาตให้ใช้แถบสีธงชาติไทยในสัญลักษณ์โลโก้พรรคพลัง ในอักษร พ.พาน นับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งโลโก้พรรคใหม่ จะเป็นรูปอักษรไทย พ.พาน ชูกำปั้น หมายถึง เป็นการรวมพลังของประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกกลุ่ม ทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ ทุกวัย ถือว่า สัญญลักษณ์โลโก้พรรคใหม่ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี

ทั้งนี้ ในการประชุมพรรคพลังได้กำหนดวันประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1/2564 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค ได้แก่ หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคอื่นๆ โดยวางโครงสร้างพรรคขนาดใหญ่ มีประธานยุทธศาสตร์พรรค รองหัวหน้าพรรค ประธานยุทธศาสตร์ภาคและหัวหน้าโซนครบทุกภาค  คณะกรรมการบริหาร จำนวน 36 คน กำหนดวันประชุมใหญ่สามัญ วันที่ 9 พฤษภาคมนี้เวลา 09.00-16.30 น. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร

โดยไฮไลต์สำคัญ มีการทาบอดีตขุนคลัง มือเศรษฐกิจ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง และอดีต รมว.ศึกษาธิการ ปาฐกถาทางด้านเศรษฐกิจมหภาค หัวข้อ “เศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจโลกในยุคโควิด 2019” ซึ่งตอบรับยืนยันร่วมงานแล้ว ส่วนภาคบ่าย ประชุมพิจารณารับรองข้อบังคับพรรคและสัญลักษณ์โลโก้พรรคพลัง(ใหม่) รวมทั้งเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค 

แหล่งข่าวจากพรรคพลัง ระบุว่า ให้ติดตามว่าหัวหน้าพรรคเป็นใคร โดยมีการเปิดเผยเพียงเบื้องต้นว่าเป็น คนหนุ่ม ไฟแรง มือกฎหมาย เป็นเนติบัณฑิต จบปริญญาเอกทางกฎหมายมหาชนและปริญญาเอกทางการเมือง ผ่านหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงวัย 40 ปีกว่าๆ เก่ง มีความรู้ ความสามารถ ครบเครื่อง จัดเจนในสนามการเมือง ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองระดับชาติ ผ่านการทำงานการเมืองระดับเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง และผ่านงานกรรมาธิการหลายคณะ เป็นข้าราชการระดับสูง มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร เพราะยังไม่ลาออกจากราชการ ได้ทาบเชิญแล้ว อยู่ระหว่างรอการตัดสินใจ

ส่วนคณะกรรมการบริหารมาจากหลายภาคส่วน ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 800 คน โดยเชิญ นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และอดีต ส.ส.เพื่อไทย มานั่งตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค ส่วนประธานยุทธศาสตร์พรรคเมื่อเปิดตัวรับรองว่าประชาชนให้การยอมรับอย่างแน่นอน

แหล่งข่าวในพรรคพลัง เปิดเผยว่า แม้คณะกรรมการบริหารพรรคพลังบางท่านจะเคยสังกัดพรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองอื่นๆ หรือเคยร่วมทำกิจกรรมเสื้อแดงมาก่อน แต่ยืนยันว่าในการจัดตั้งพรรคพลัง ไม่เป็นพรรคสำรองของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคการเมืองอื่นใดและไม่ใช่พรรคของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือกลุ่มสีเสื้อใด ไม่เป็นพรรคนอมินีของใครแต่เป็นพรรคของประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์ล้วนมาจากผู้มีความรู้ความสามารถบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ เจตจำนงตั้งพรรคการเมืองมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำงานให้แก่บ้านเมืองและเป็นพรรคกระแสหลักอาสามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนเป็นพรรคการเมืองของประชาชนตามนโยบาย “เท่าเทียมทั่วถึงทันที” และสโลแกนว่า “พรรคพลังหัวใจคือโอกาสของประชาชน”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ยุทธศาสตร์พรรคพลัง ใช้ทฤษฎีป่าล้อมเมือง โดยที่ผ่านมาคณะผู้บริหารได้ประชุมสัมมนาสัญจรระดับภาค และเปิดตัวแกนนำทั่วประเทศเพื่อวางตัวสู้ศึกเลือกตั้ง 350 เขตเลือกตั้งสถานการณ์บ้านเมืองอาจมีการยุบสภาเร็วขึ้น จะต้องรีบจดจัดตั้งพรรคและตั้งสาขาพรรคระดับภาค ตัวแทนประจำจังหวัด ผู้อำนวยการประจำเขตเลือกตั้ง และสรรหาว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเพื่อจัดทำไพรมารีโหวตทุกเขตเลือกตั้งและรับสมัครสมาชิกพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคพลังได้ประชุมก่อตั้งพรรคครั้งแรกปลายปีที่แล้ว วันที่ 17 ต.ค. 2563 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กทม. โดยเลือกคณะกรรมการบริหารชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่ โดยเลือก นายสุรศักดิ์ ศิริบุญ เป็นหัวหน้าพรรค พล.ต.ชอบ ตระกูลสม ประธานที่ปรึกษาพรรค และได้ยื่นจดทะเบียนการตั้งพรรคต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2563

โดยที่ประชุมได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญในการนำเสนอนโยบายของพรรค และมีเป้าหมายให้เป็นพรรคทางเลือกของประชาชนและเป็นพรรคที่เกิดจากอุดมการณ์ของประชาชน มีเป้าหมายได้ที่นั่งในสภาฯ เพื่อเป็นพรรคขนาดกลางและพัฒนาเป็นพรรคขนาดใหญ่