ทีมกรุ๊ป ห่วงฝนทิ้งช่วง-น้ำหลาก
“ทีมกรุ๊ป” คาดไทยเข้าสู่ฤดูฝน 15 พ.ค. นี้ เตือนฝนทิ้งช่วง มิ.ย.-ก.ค. ส่วนพื้นที่ลุ่มต่ำภาคกลาง-อีสานใต้ และภาคใต้ฝั่งตะวันออก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก ย้ำยังไม่พบสัญญาณน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยเหมือนปี 2554
นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ หรือ TEAMG ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำของประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำฝนในปี 2564 ว่า ปรากฏการณ์ลานีญา จะเกิดฝนตกหนัก-ลมกระโชกแรง-ลูกเห็บตก จากอิทธิพลพายุฤดูร้อนตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อการบรรเทาปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้น
ส่งผลให้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการตามเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป โดยจะมีฝนตกชุกต่อเนื่อง และมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นช่วงปลายเดือน แต่เมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายนต่อเนื่องถึงเดือนกรกฎาคม ปริมาณฝนจะลดลงเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง มีผลกระทบต่อภาคการเกษตรนอกเขตชลประทาน
ช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายน ฝนจะเริ่มกลับมาชุก และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยม ตั้งแต่จังหวัดสุโขทัย ลงมาจนถึงจังหวัดพิจิตร และนครสวรรค์ ซึ่งไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีเพียงแค่พื้นที่แก้มลิงหนองหลวง จังหวัดสุโขทัย และแก้มลิงบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เป็นแหล่งรองรับน้ำ ซึ่งมีขนาดไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ำฝนตกพื้นที่ท้ายเขื่อน และจากร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือ ทำให้ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมในจังหวัดสุโขทัย พิจิตร และนครสวรรค์ เป็นประจำทุกปี
ซึ่งที่ผ่านมา กรมชลประทานได้จัดเตรียมพื้นที่แก้มลิงหนองหลวง จังหวัดสุโขทัย และแก้มลิงบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ไว้รับมวลน้ำหลาก ลดลดผลกระทบน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน และแหล่งเศรษฐกิจจังหวัดลุ่มเจ้าพระยา ตามรูปแบบโครงการบางระกำโมเดล ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 โดยขอความร่วมมือจากเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนระยะเวลาปลูกข้าวให้เร็วขึ้น เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ก่อนจะทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนกรกฎาคม และปรับพื้นที่ให้เป็นทุ่งรับน้ำ ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในลุ่มน้ำยมได้
ขณะที่ พื้นที่น้ำปิง มีอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก พื้นที่ลำน้ำวัง มีอ่างเก็บน้ำเขื่อน กิ่วลม จังหวัดลำปาง พื้นที่ลำน้ำน่าน มีอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เป็นแหล่งเก็บกักน้ำและระบายน้ำให้เหมาะสมตามสภาวการณ์ของปริมาณน้ำ ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันน้ำท่วมในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีอ่างเก็บน้ำ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก อ่างเก็บน้ำป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี ที่ช่วยบรรเทาน้ำท่วมที่เกิดจากลุ่มน้ำภาคเหนือได้
ในเดือนกันยายน และตุลาคม ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝนจะตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง จากอิทธิพลของร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่าน และหากมีพายุก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก หรือทะเลจีนใต้ พัดผ่านเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในลักษณะพายุไต้ฝุ่น พายุโซนร้อน พายุดีเปรสชั่น หรือหย่อมความกดอากาศต่ำ จะทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยในจังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ ยโสธร และอุบลราชธานี ซึ่งเมื่อปี 2562 พายุโซนร้อนวิภา พายุโซนร้อนโพดุล และพายุโซนร้อนคาจิกิ ที่เคลื่อนผ่านภาคอิสาน ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี ฤทธิ์ของพายุทำให้ฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืน น้ำท่วมฉับพลันและทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน พื้นที่เกษตรจำนวนมาก ซึ่งในปี 2564 ก็ต้องเฝ้าระวังด้วยเช่นเดียวกัน เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนเหมือนปีที่ผ่านมา
สำหรับพื้นที่ภาคกลาง จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ยังมีพื้นที่ลุ่มต่ำที่เป็นจุดอ่อนที่จะเกิดน้ำท่วม ชาวบ้านริมแม่น้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ และพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ต้องระวังฝนตกหนักต่อเนื่อง และมวลน้ำหลากจากภาคเหนือตลอดเดือนตุลาคม อย่างอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น และฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ช่วงปลายฤดูฝน จังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี จะเกิดน้ำจะท่วมจากการระบายน้ำฝนที่ตกหนักนานติดกันหลายชั่วโมงลงสู่คลองและทะเลไม่ทัน จังหวัดเพชรบุรี อำเภอปราณบุรี และอำเภอบางสะพาน ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น้ำจะหลากท่วมพื้นที่ช่วงเดือนตุลาคมต่อเนื่องถึงพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม น้ำอาจจะท่วมส่งท้ายปีที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
“จากการประมวลวิเคราะห์ และติดตามสถานการณ์น้ำปี 2564 แม้ฝนจะมาเร็ว และคาดการณ์ปริมาณฝนช่วงก่อนมรสุมจะมีฝนตกมาก แต่ยังไม่พบสัญญาณความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่คล้ายกับปี 2554 ประกอบกับความสามารถของอ่างเก็บน้ำเขื่อนใหญ่ทั้ง 4 ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังมีน้ำอยู่น้อยสามารถรองรับน้ำได้มากกว่าปี 2554 ซึ่งปัจจุบันอ่างเก็บน้ำเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 4 มีน้ำรวมกัน 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าน้อย และมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคจนสิ้นฤดูแล้งเท่านั้น และสภาพพื้นที่รับน้ำก็เปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็นอย่างมาก” นายชวลิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านน้ำ เตรียมแผนรับมือน้ำหลากในฤดูฝนปี 2564 ติดตามสภาพอากาศ และประเมินแนวโน้มสถานการณ์น้ำ ปริมาณฝน และพายุอย่างใกล้ชิด รวมถึงวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบ เตรียมมาตรการช่วยเหลือเยียวยา และแผนการฟื้นฟู เมื่อเกิดอุทกภัยขึ้น