‘โรม’ ย้อนถาม ‘แลนด์สไลด์’ ไปทางไหน เพื่อใคร ‘เพื่อไทย’หรือ ‘เพื่อประชารัฐ’
‘โรม’ ย้อนถาม ‘แลนด์สไลด์’ ไปทางไหน เพื่อใคร ‘เพื่อไทย’หรือ ‘เพื่อประชารัฐ’
นายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงความเห็นต่อกระแสการแก้รัฐธรรมนูญ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เป็นที่ชัดเจนว่าจุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเลือกตั้งที่ยอมเล่นตามเกมของพรรคพลังประชารัฐ รื้อกรอบจำนวน ส.ส. พึงมีออกไป แล้วไปเน้นหนักที่การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เพิ่มจากเดิมขึ้นมา 50 คน) คงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ คือเพื่อหวังให้เกิดการเทคะแนนไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเต็มที่ ด้วยข้ออ้างว่าหากเป็นเบี้ยหัวแตกแล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ยาก
.
“พูดง่ายๆ คือหวัง ‘แลนด์สไลด์’ แบบที่เคยได้ในอดีต โดยค่อยไปวัดพลังกับพรรคพลังประชารัฐเอาดาบหน้า ในที่นี้ ผมคงไม่ลึกลงรายละเอียดถึงปัญหาเชิงหลักการของข้อเสนอระบบการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะทั้งผมและพรรคก้าวไกลได้พูดไปพอสมควรแล้วก่อนหน้านี้ แค่ขอย้ำว่าระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีปัญหาแน่ๆ ในการทำให้สัดส่วนระหว่างจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองกับจำนวนประชากรที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ไม่เหมาะสมกัน บางพรรคจะได้ ส.ส. เกินส่วนประชาชนที่เลือก ในขณะที่บางพรรคก็จะได้ ส.ส. ขาดส่วนประชาชนที่เลือกเช่นกัน แต่แค่อยากจะขอถามไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า ‘แลนด์สไลด์’ ที่คาดหวังนี้ จะไปในทิศทางไหนกันแน่”
นายรังสิมันต์ ระบุต่อไปว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงอวัยวะหนึ่งของฝ่าย คสช. ที่เข้ามาชิงพื้นที่ในเวทีสภา คสช. ยังมีอวัยวะอื่นๆ อีกมากมายที่จะใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจตั้งแต่ในต้นทางคือควบคุมการเลือกตั้งไปจนถึงการรักษาสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กกต. ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่นๆ ตลอดจนระบบราชการ ในวันนี้พรรคพลังประชารัฐเลือกที่จะแก้ระบบการเลือกตั้งเพื่อหวังขยายจำนวน ส.ส. ของตัวเองในอนาคตให้เกินกรอบจำนวน ส.ส. พึงมี ซึ่งมีปัญหาทั้งในเชิงหลักการและยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายที่หวังใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเท่านั้น
“การที่พรรคเพื่อไทยไปร่วมเห็นชอบกับระบบการเลือกตั้งดังกล่าวด้วยนั้น หากผลปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายที่ใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวได้ดีที่สุดและชนะเลือกตั้งไป จะยิ่งเป็นการเพิ่มความชอบธรรมแก่พรรคพลังประชารัฐเพราะถือว่าผ่านการเลือกตั้งในระบบที่พรรคใหญ่ของฝ่ายค้านเองก็ยังรับรอง (แม้จะมีปัญหาเชิงหลักการก็ตาม) และเมื่อประกอบกับกลไกอวัยวะอื่นๆ ของ ฝ่าย คสช. ที่ยังคงอยู่เพื่อคอยรักษาสถานะทางอำนาจไว้แล้ว การจะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะยากยิ่งขึ้นไปอีก หากผลออกมาเป็นเช่นนี้แล้วพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร นอกจากนี้ยังต้องถามพรรคเพื่อไทยอีกว่า ‘แลนด์สไลด์’ นี้ เป็นไปเพื่อใคร”
.
นายรังสิมันต์ ชี้ว่า การต้องการให้พรรคการเมืองเข้มแข็งที่อ้างว่าต้องไม่เป็นเบี้ยหัวแตก คือการมุ่งหวังให้คะแนนเทมายังพรรคเพื่อไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าหลายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต แต่ปล่อยให้พรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต้องต่อสู้ดิ้นรนในเวที ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่มีเพียง 100 คน หรือเพียง 20% ของทั้งสภา เรียกได้ว่าพรรคเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องจมอยู่ใต้แลนด์สไลด์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นคำถามต่อมาว่าการที่เป็นเช่นนี้เป็นประโยชน์กับประชาชนจริงหรือ ขณะที่สิ่งที่ควรมุ่งสร้างให้เกิดขึ้นมากกว่า คือระบบที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดมีที่ยืนอยู่ร่วมกันได้ เข้มแข็งไปด้วยกันได้ การที่ในสภามีทั้งพรรคที่มุ่งเน้นการเข้าถึงปัญหาของชาวบ้าน พรรคมุ่งเน้นการแก้ปัญหาโครงสร้าง พรรคที่มุ่งเน้นการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน พรรคที่มุ่งเน้นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ฯลฯ คือสภาที่ควรเป็นมิใช่หรือ ถ้าใช่แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเสนอไปในทางที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ลง และหากพรรคเพื่อไทยยังดึงดันในข้อเสนอนี้ แล้วผลปรากฏว่าชัยชนะกลายเป็นของพรรคพลังประชารัฐไป ถึงตอนนั้นแล้วจะยังมีพรรคไหนที่มีกำลังมากพอที่จะร่วมสู้ด้วยกันได้และจะยังมีพรรคไหนที่อยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคเพื่อไทยอีก
.
“ผมและพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันว่าระบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีปัญหาแน่ การใช้บัตร 2 ใบดีกว่าแน่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าหากไม่เอาระบบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แล้วจะต้องหันไปเอาระบบตามที่พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ เสนอมาเท่านั้น ยังมีระบบการเลือกตั้งอื่นที่สะท้อนเจตจำนง ซื่อตรงต่อเสียงของประชาชนได้มากยิ่งกว่า 2 ระบบนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกพรรคการเมืองในระยะยาวรวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย หวังว่าพรรคเพื่อไทยจะทบทวนการตัดสินใจของตัวเอง อย่าได้คล้อยตามสิ่งล่อใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราวจนยอมรับในระบบที่ยังมีปัญหาเชิงหลักการแล้วเอาชะตากรรมของประชาชนไปแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนเลย” นานรังสิมันต์ ระบุ