เข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการ (13 ก.ค.64)
หุ้นกลุ่มธนาคารประกาศงบสัปดาห์นี้
คาดกำไรปกติของกลุ่ม -10% QoQ และ +30% YoY อย่างไรก็ตามสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศที่ยืดเยื้อ และแนวโน้มการปรับประมาณการทางเศรษฐกิจในประเทศลง ทำให้มีความเสี่ยงต่อคุณภาพลูกหนี้ การตั้งสำรองและการกลายเป็นหนี้เสีย ทำให้แม้งบธนาคารออกมาดี นักลงทุนก็จะยังคงกังวล ขณะที่หากงบออกมาแย่กว่าคาด ราคาหุ้นจะมีความเสี่ยงที่จะมีแรงขายลดน้ำหนักได้ทันที ดังนั้นเราเน้นรอซื้อหลังประกาศงบมากกว่าดักก่อนหน้างบออก โดยคาดตารางประกาศผลประกอบการดังนี้ 15 ก.ค. KTC, TISCO / 20 ก.ค. BBL, TTB / 21 ก.ค. KBANK
กลุ่มการแพทย์ต้องเริ่มระวังหุ้นที่สะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว หุ้นกลุ่มการแพทย์หลายตัวมีแรงขายทำกำไรส่งผลให้ปรับลดลง 3-10% ซึ่งเราคาดว่ามาจากความกังวลประเด็นการยอมให้กักตัวที่บ้าน (home isolation) และการยอมให้ใช้ชุดตรวจแบบง่าย (Rapid test) อาจจะกระทบต่อรายได้ของกลุ่มการแพทย์ อย่างไรก็ตามเรามองทั้ง 2 กรณี จะส่งผลบวกต่อรายได้กลุ่มการแพทย์ เพียงแต่ด้วย Valuation ของหุ้นบางตัว อาทิ BCH และ CHG ที่ขึ้นไปสูงกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว หากผลการดำเนินงานเริ่มกลับสู่ปกติ (ไม่มีรายได้จากการตรวจและการทำ Hospitel) จะทำให้หุ้นซื้อขายด้วยระดับ PER ที่สูง ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงต่อราคาหุ้นที่มากกว่าหุ้นอื่น //ในช่วงสั้นอาจมีความผันผวน แต่เรามองหุ้นที่กำลังฟื้นตัว หรือได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวน้อยกว่า อย่าง BDMS, RJH น่าสนใจและมีโอกาสฟื้นตัวที่ดีกว่า // THG อาจน่าสนใจในระยะสั้นจากการเก็งประเด็นนำเข้าวัคซีนผ่านช่องทางอื่นที่ไม่ผ่านอ.ย.และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
PTTGC เข้าซื้อกิจการของ Allnex เราคาดราคาปรับลดลงเนื่องจากเป็นดีลซื้อกิจการขนาดใหญ่ (1.48 แสนล้านบาท) และตลาดกังวลเรื่องการเพิ่มทุน อย่างไรก็ตามเรามองบริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนเนื่องจาก 1) เงินสดในมือ 1.1 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/64 2) เงินที่ได้รับจากการขายเงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท 3) วงเงินกู้ที่ได้รับจาก ปตท. 7 หมื่นล้านบาท 4) กระแสเงินสดจากการดำเนินงานช่วงไตรมาส 2/64 ที่ดี เรามองดีลนี้เป็นบวก และมองการปรับลดลงของราคาหุ้นน่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วง 51-53 บาท
ธีมลงทุนที่น่าสนใจ เรามองนักลงทุนควรมีหุ้นปลอดภัยหรือหุ้นที่ยังมีการถือครองโดยนักลงทุนต่ำ (under-owned) ผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับลดลง จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หุ้นในกลุ่มปลอดภัยและปันผลสูง มีโอกาสฟื้นตัว และเป็นแหล่งพักเงินที่ดี เน้นทยอยสะสสมเมื่ออ่อนตัวใน หุ้นปันผลและกองรีทส์ ADVANC, AIMIRT, WHART, FTREIT, EASTW, WHAUP, TTW ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อน เป็นบวกต่อกลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF // เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัวโดยมีกรอบแนวต้านสำคัญ 1565 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1510-1530 จุด โดยภาพรวมยังเป็นการฟื้นตัวในกรอบทางลง ภาพรวมยังเน้นบริหารความเสี่ยง และปรับสมดุลให้ในพอร์ตมีเงินสดมากพอหากโอกาสซื้อเกิดขึ้น // หุ้นแนะนำ: EASTW*, PM*, RJH*, RATCH*
แนวรับ: 1,510-1,535/ แนวต้าน : 1,560-1,565 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%
ประเด็นการลงทุน
ผลสำรวจชี้ผู้บริโภคสหรัฐคาดเงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.8% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า. สูงขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับผลสำรวจในเดือน พ.ค. และเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2556
ระบบการเงินไทยยังมีเสถียรภาพ แต่ห่วงหนี้ครัวเรือนสูง. กนง.-กนส. ชี้ระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ กองทุนรวม และบริษัทประกันภัย มีสภาพคล่องเพียงพอและมีฐานะทางการเงินที่สามารถรองรับภาวะวิกฤตได้ แต่ห่วงหนี้ครัวเรือนที่สูง
ชง ครม. เยียวยาล็อกดาวน์ แจกเงินแรงงาน 10 จังหวัด. แบงก์ชาติขอดูผลกระทบล็อกดาวน์ก่อนทบทวนประเมินภาพเศรษฐกิจ. ครม.เตรียมเคาะใช้เงินกู้ช่วยเยียวยากลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ 10 จังหวัด ยืนยันพร้อมใช้นโยบายผ่อนคลายต่อเนื่อง
ไฟฟ้าชุมชน - การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติด้านเทคนิคจำนวน 95 ราย โดย จากรายชื่อเบื้องต้น คาดว่าบจ.มีจำนวนโครงการที่ผ่านเทคนิคดังนี้ ACE (29), TPCH (7), ETE (2), UAC (1), UTP (1)
SNNP เคาะ ขาย ไอ พี โอ 9.20 บาท - ซึ่ง เป็น ราคา สูง สุด จาก ช่วง 8.70-9.20 บาท "นักลงทุน สถาบัน-ราย ย่อย" จองซื้อล้น เตรียมเข้าซื้อขาย สัปดาห์ ที่ 3 ของ ก.ค.64 ราคาเสนอขายคิดเป็น Forward PER 25-26 เท่า ซึ่งสูงกว่าหุ้นในกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่อยู่ในตลาดอย่าง PM (16.8x PER) ซึ่งเรามองเป็นปัจจัยบวกให้หุ้นที่อยู่ในตลาดมีโอกาสถูก re-rated ไปซื้อขายด้วย PER ที่สูงขึ้นได้
Cash balance - หุ้นที่ซื้อขายติดเกณฑ์หมุนเวียน (Turnover list) และมีโอกาสถูกให้วางเงินสดก่อนการซื้อขาย ได้แก่ MENA, CHG, CMR, PRINC, SCI, LEO, SANKO เป็นต้น
ประเด็นติดตาม: - 9 ก.ค.: ECB President Lagards Speaks
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)