เกษตรฯเร่งถกจีนแก้ระงับ 'นำเข้า' ลำไย

เกษตรฯเร่งถกจีนแก้ระงับ 'นำเข้า' ลำไย

(ชมคลิปข่าวด้านล่าง) “กรมวิชาการเกษตร” ลุยเจรจากรมศุลกากรจีนขอปลดล็อคแบนส่งออกลำไยไทยด่วน ร่วมพูดคุยกับ พิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร พิเชษฐ์ วิริยะพาหะ ระบุ กรมได้ประชุมร่วมกับศุลกากรจีน เพื่อดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเรื่องการส่งออกลำไย ภายหลังจากทางจีนแจ้งว่าได้มีการตรวจเจอศัตรูพืชปะปนไปในลำไย ตามมาตรการที่บังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2564 ถึงเดือนมิถุนายน 2564 จำนวน 114 ครั้งจากผู้ประกอบการซึ่งเป็นโรงคัดแยกและบรรจุลำไยทั้งหมด 66 ราย ซึ่งเป็นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 11 ราย ลำพูน 26 รายจันทบุรี 28 ราย และสระแก้ว1ราย จึงได้ระงับการนำเข้าลำไยทันที

“ การตรวจสอบพบศัตรูพืชในสินค้าลำไยครั้งนี้นับเป็นครั้งที่2 ซึ่งตามพิธีสารระหว่างไทยและจีนเรื่องการส่งออกผลไม้ ตกลงกันว่าจะต้องมีการสุ่มตรวจผลไม้ 3% ของตู้ แต่กฎระเบียบของจีนจะแตกต่างจากตลาดส่งออกอื่น คือ เมื่อเจอจีนจะระงับการนำเข้าก่อนแล้วค่อยแจ้งไทยทีหลัง ถ้าเป็นตลาดยุโรปหากตรวจเจอแล้วจะแจ้งก่อนให้เราปรับปรุงแล้วจึงมีมาตรการทีหลัง ”

สำหรับแนวทางการแก้ไขตามพิธีสารไทยต้องจัดทำเรื่องรายละเอียดมาตรการการจัดการปัญหานี้ เพื่อให้ทางการจีนพิจารณา ว่าเราจะจัดการตัวเองอย่างไร

“ทางกรมได้ประสานไปแล้ว ในการหารือครั้งนี้ ไทยเสนอให้มีปลดล็อกให้ผู้ประกอบการ โดยการจัดเกรดผู้ประกอบการโรงคัดแยกและบรรจุ 66 ราย เพราะหากถ้าระงับการนำเข้าอาจจะถือว่าไม่เป็นธรรมเพราะบางรายตรวจสอบพบสัดส่วนน้อยมาก เช่น ส่งออก 200 ตู้เจอ 6 กลุ่มตัวอย่าง เป็นต้น น้อยกว่า 3% “

พร้อมกันนี้ กรมได้ส่งผลการจัดเกรด โรงคัดแยกบรรจุไปให้ประกอบ โดยโรงคัดแยกบรรจุ 66 รายดังกล่าว แบ่งเป็น ที่พบมากกว่า 3% มีเพียง 14 ราย คือ ในกลุ่มของจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนมี 10 แห่งจากทั้งหมด37แห่ง จังหวัดจันทบุรี มี 4 แห่งจากทั้งหมด 28 แห่ง เท่ากับว่าผู้ประกอบการที่เหลือ 55 ราย เป็นกลุ่มที่สุ่มตรวจพบ น้อยกว่า 3% ดังนั้น จึงควรปลดล็อคให้กลุ่มนี้ก่อน ส่วนกลุ่มที่มากกว่า 3% ก็ควรจะให้ดำเนินมาตรการเข้มงวดต่อไป

ทั้งนี้ มาตรการที่เข้มงวดเพิ่มขึ้นจะมีทั้งการเพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบศัตรูพืช การแจ้งเจ้าหน้าที่ตามลำดับต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตไทยเสนอขอให้ขยายสัดส่วนการสุ่มตรวจจาก 3% เป็น 5% รวมถึงขอให้ทางการจีนแจ้งไทยก่อน หากตรวจเจอปัญหานี้ เพื่อให้ไทยดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหากทำไม่ได้จึงค่อยระงับการนำเข้าด้วย

นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินการภายในประเทศ ทางกรมจะประชุมร่วมกับผู้ประกอบการโรงคัดแยกและบรรจุลำไย 37 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ เพราะหากไม่เร่งแก้ปัญหาโดยเร็วจะส่งผลกระทบต่อการรับซื้อผลผลิตลำไยในโซนพื้นที่สองจังหวัดนี้ที่กำลังออกสู่ตลาด ส่วนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและสระแก้วขณะนี้ยังไม่มีผลผลิตลำไยออกสู่ตลาด

“ ผู้ประกอบการ 66 รายที่ถูกห้ามนำเข้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นผู้รับซื้อคิดเป็นสัดส่วน 60% ของตลาดลำไย ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งเป็นรายใหญ่การสุ่มตรวจสอบก็จะยิ่งมากและยิ่งทำให้เกิดการพบศัตรูพืชได้มากเช่นกัน ฉะนั้น ก็จะต้องให้เวลา ปรับปรุงและดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดเพราะหากโรงคัดบรรจุไม่สามารถจะส่งออกได้ก็จะส่งผลกระทบต่อการรับซื้อลำไยและราคาลำไยได้”