เตรียมเสนอ 'ยูเนสโก' ขึ้นทะเบียน 'ผ้าขาวม้า' เป็นมรดกทางวัฒนธรรม
นายกฯ ยินดี "ผ้าขาวม้า" Soft Power ไทย ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติในงาน World Dance Day 2023 สาธารณรัฐอินโดนีเซีย พร้อมผลักดันการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้นำ “ผ้าขาวม้า” Soft Power ของไทย ร่วมแสดงในงาน World Dance Day 2023 ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
โดยได้รับความสนใจจากผู้ชมชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก และขณะนี้ผ้าขาวม้าไทยอยู่ระหว่างการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible cultural heritage) ต่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำผ้าขาวม้า ซึ่งเป็นหนึ่ง Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ของไทย เข้าร่วมการแสดงในงาน World Dance Day 2023 เป็นงานที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถทางศิลปะวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
โดยเยาวชนไทยได้ทำการแสดง 2 ชุด ได้แก่
1. การแสดงชุดเคียนขะม้านารี ใช้ผ้าขาวม้าเป็นองค์ประกอบหลักสำหรับการแสดง บอกเล่าเรื่องราวของผ้าขาวม้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทย จนเป็นเอกลักษณ์ของไทย
2. การแสดงชุดผืนไท เป็นการแสดงท่ารำและการแต่งกายของคนไทยในทุกภูมิภาค เพื่อสื่อให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขร่มเย็น ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ซึ่งเมื่อการแสดงจบลง ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมอย่างยาวนานด้วยความประทับใจ มีชาวต่างชาติมาขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกจำนวนมาก
นอกจากนี้เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้เสนอ “ผ้าขาวม้า” ผ้าอเนกประสงค์ในวิถีชีวิตไทย ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก โดยพิจารณาจากคุณค่าของผ้าขาวม้าในหลายมิติ การใช้ประโยชน์ที่แพร่หลายในทุกภาคและชุมชน
รวมถึงในชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น เป็นผ้าสารพัดประโยชน์เข้าถึงง่ายและผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยหลายด้าน ทั้งการทอผ้าใช้กันเองในครัวเรือน แลกเปลี่ยนในหมู่บ้านและชุมชนไปจนถึงเป็นของขวัญ และใช้ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ว่า ผ้าขาวม้ามีมาตั้งแต่สมัยเชียงแสน ผ่านการปรับปรุงต่อยอดภูมิปัญญา พัฒนาคุณภาพให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายขึ้นจนถึงปัจจุบัน
“นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันต่อยอด ผลักดันผ้าขาวม้า อีกหนึ่ง Soft Power ของไทย รวมถึงชื่นชมคนรุ่นใหม่ เยาวชนไทย ที่รักความเป็นไทย สนับสนุน และผลักดันเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติให้เป็นที่รู้จักในสายตาชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ตลอดจน ชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ ที่นำมาผสมผสานเป็นความร่วมสมัยทางวัฒนธรรมนำไปเผยแพร่ในระดับโลก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนให้ผ้าขาวม้าให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโกต่อไป”