หลอกแต่งงาน เชิดเงิน 2 ล้าน หนุ่มโวยสาวแอปหาคู่ ไม่ให้มีเซ็กส์-ไล่ออกบ้าน
รักแบบไหน ..หลอกแต่งงาน เชิดเงินมรดก 2 ล้าน หนุ่มโวยสาวแอปหาคู่ ไม่ให้มีเซ็กส์-ไล่ออกจากบ้าน จ้าง 5 หมื่นเพื่อขอหย่า
หนุ่มร้องทนายดัง ถูกสาวลูกกำนัน เจอกันในแอปฯหาคู่ หลอกแต่งงาน หลังได้มรดกเกือบ 2 ล้าน แต่งไม่ถึง 3 เดือนไม่ยอมให้ร่วมหลับนอน แถมไล่ออกจากบ้าน พร้อมจ้างเงิน 5 หมื่น เพื่อขอหย่า
ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ เวลา 11.00 น. นายอิฐ (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) อายุ 35 ปี อาชีพ อดีตช่างต่อเติมบ้าน หนุ่มชาวจังหวัดมหาสารคาม หอบหลักฐาน และทะเบียนสมรส เข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประทานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม
หลังถูกลูกสาวกำนันดังใน จ.ชัยภูมิ ที่เจอกันทางแอปหาคู่ OMI โดยคุยกันได้ 1 เดือน หลอกให้มาสู่ขอแต่งงานด้วยเงินจำนวน 2 ล้านบาท หลังได้รับมรดกจากพ่อที่เสียชีวิตทิ้งไว้ให้เกือบ 2 ล้าน โดยโอนเงินเข้าบัญชีฝ่ายหญิงทั้งหมด หลังหลงเชื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้วย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงได้ไม่ถึง 3 เดือน ก็ถูกฝ่ายหญิงบีบให้เลิกรา โดยใช้วิธีให้คนในบ้านไม่คุยด้วย ไม่หาข้าวให้กินให้หากินเองทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังไม่ยอมให้ร่วมหลับนอน โดยฝ่ายหญิงเสนอเงินให้ตน 50,000 บาท เพื่อให้ไปหย่า แต่ตนไม่ยอมเพราะคิดว่าตนถูกหลอกให้แต่งงานเพื่อเอาเงิน จึงได้แจ้งความดำเนินคดี ที่สภ.บ้านเพรช แต่คดีไม่มีความคืบหน้า เพราะพ่อฝ่ายหญิงเป็นกำนันคนดังในพื้นที่ ตนกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเดินทางมาร้องเรียนกับทนายเพื่อให้ช่วยเหลือ
นายอิฐ กล่าวว่า พบเจอหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ แพน อายุ 27 ปี ชาวชัยภูมิ จากแอปพลิเคชัน หาคู่ OMI เมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นลูกสาวกำนัน ในอ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ โดยมีการพูดคุยกันได้ประมาณ 1 เดือน ได้มีการเรียกตนไปที่บ้าน และมีการพูดคุยตกลงว่าจะแต่งงานกัน
โดยตนได้ไปกินอยู่บ้านเขาที่จังหวัดชัยภูมิ ประมาณ 1-2 อาทิตย์ กินอยู่กันฉันผัวเมีย จากนั้นวันที่ 24 ส.ค. 2565 ตนได้รับเงินมรดกจากพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วทิ้งไว้ให้จำนวน 1,900,000 บาท โอนเข้าบัญชีตนเวลา 01.00 น. พอเวลา 06.00 น. วันรุ่งขึ้นตนก็เดินทางไปจดทะเบียนสมรส
พอวันที่ 25 ส.ค. 2565 ตนก็เข้าพิธีแต่งงานที่ทางฝ่ายหญิงจัดเตรียมไว้ โดยเป็นเงินมรดกที่ได้จากพ่อ แล้วตนโอนเงินไปฝากไว้ที่บัญชีภรรยา ซึ่งภรรยาถอนเงินออกมาเป็นเป็นค่าสินสอดและจัดงาน เป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท และสร้อยคอทองคำจำนวน 7 บาท รวมค่าจัดงานทั้งหมดคิดเป็นเงินจำนวน 600,000 บาท
ส่วนเงินที่เหลือภรรยาได้นำไปใช้จ่ายส่วนตัว นอกจากนี้ ตนยังได้นำเงินบางส่วนไปซ่อมแซมปรับปรุงบ้านให้กับภรรยา ซึ่งทุกอย่างก็อยู่กันอย่างผัวเมียปกติ แต่ผ่านไปไม่ถึง 3 เดือน พฤติกรรมของภรรยาตนก็เริ่มผิดปกติ ไม่ยอมให้ตนเข้าใกล้หรือร่วมหลับนอน ไม่พูดจาด้วย เหมือนต้องการแกล้งบีบตนให้ออกจากบ้าน ตนจึงพูดกับภรรยาและแม่ภรรยาแต่ก็ทะเลาะกันตลอด ภรรยาไล่ตนออกจากบ้านและขอหย่า ตนจึงต้องออกจากบ้านภรรยากลับมาอยู่บ้านตัวเอง
ทั้งนี้ หลังจากที่ตนเดินออกมาจากชีวิตของภรรยา ก็ได้ข่าวว่าภรรยาพาแฟนเก่าเข้าบ้าน ตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนยังอยู่ไม่ได้ แต่แฟนเก่าทำไมไปมาหาสู่กันได้ จึงคิดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้น ตนน่าจะถูกหลอกลวงมาแต่งงาน เพื่อเอาเงินมรดกมาใช้หนี้ที่บ้านภรรยา
ส่วนเหตุผลที่ตนไว้ใจภรรยา เพราะว่าหลังจากที่รู้จักกันไม่นาน ตนซึ่งมีคดีเก่าเป็นคดีมรดกของพ่อต้องใช้เงินจ้างทนายจำนวน 60,000 บาท ทางผู้หญิงรายนี้ก็ได้โอนช่วยเหลือตน จึงเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ
หลังจากนั้นไม่นานตนก็ได้คืนเงินจำนวน 60,000 บาท คืนกลับไป ตอนนี้ทางภรรยาตนก็ได้มีการโทรมาพูดคุยกับตนเป็นช่วงๆ จะพูดคุยแต่เพียงเรื่องหย่าร้างกัน โดยมีการพูดว่าจะให้เงินจำนวน 50,000 บาท เพื่อจ้างตนให้มาอย่าร้าง แต่ตนไม่ยอมเพราะจำนวนเงินที่ตนให้กับทางภรรยาตนมันมากกว่าเงินที่เขานำเสนอมามากพอสมควร
สุดท้ายวันนี้ที่เดินทางมาพบทนายรณรงค์ เพื่อให้ทนายรณรงค์ช่วย โดยอยากให้ทางฝ่ายหญิงนำเงินมาคืนตนจำนวน 300,000 บาท และตนจะยอมหย่าแล้วจบทุกอย่าง
ด้านทนายรณรงค์ กล่าวว่า กรณีนี้เป็นเคสผัวเมีย เมียใหม่แฟนใหม่ไม่มีสิทธิที่จะมาแบ่งทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอดของฝ่ายชาย ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ส่วนการที่ฝ่ายชายอยากได้เงินค่าสร้างบ้าน โรงรถคืนนั้น ต้องบอกว่าตามกฎหมายการที่เราไปสร้างบ้านหรือโรงรถในที่ดินของฝ่ายหญิงแบบนี้ทางฝ่ายชายหมดสิทธิที่จะได้คืนตามกฎหมาย เพราะสิ่งปลูกสร้างจะติดไปกับที่ดิน
แต่ส่วนเงินที่นำไปลงทุนเปิดร้านขายของชำร่วมกันอย่างนี้ถือว่าเป็นสินสมรสต้องแบ่งครึ่งกัน ส่วนเงินที่ฝ่ายชายได้มรดกมาแล้วนำไปฝากไว้ที่ฝ่ายหญิง ฝ่ายชายสามารถเรียกร้องคืนได้ทั้งหมด เพราะนั้นคือเงินส่วนตัว ไม่ได้หามาระหว่างแต่งงานกัน กรณีนี้ ตนเชื่อว่าสามารถเจรจากันได้ เพราะฝ่ายหญิงก็ได้จากฝ่ายชายไปเยอะอยู่พอสมควร