กองปราบ ทลายเครือข่ายเจ้าของค่ายเพลง หลอกตุ๋นเงิน 2 พันล้าน
กองบังคับการปราบปราม เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายเจ้าของค่ายเพลง แอบอ้างโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ลวงเหยื่อสูญเงินกว่า 2 พันล้าน หมายจับกราวรูด 11 คน ไล่ยึดทรัพย์ร่วม 300 ล้าน
เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 67 ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.ท.รัฐมนตรี พันชูกลาง พ.ต.ท.ณัฐดนัย สีแข่ไตร ว่าที่ พ.ต.ต.พงศธร รัชตวัชรางกูร ว่าที่ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สว.กก.3 บก.ป. พ.ต.ต.อัครวุฒิ จันทร์เจริญ พ.ต.ต.วรัท เสริมสุจริต พ.ต.ต.เอื้ออังกูร ชินโชติ พ.ต.ต.กรพงศ์ วงษาลังการ สว.กก.2 บก.ป. พ.ต.ต.ณรงค์ หาญสันเทียะ สว.กก.4 บก.ป. และ พ.ต.ท.ศราวุธ ทองน้อย สว.ทล.1 กก.6 บก.ทล. พร้อมกำลัง จับกุม น.ส.รัชญา (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี (เสียชีวิต) นายณัฏฐ์สันธิษณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี นางสาวณัฐรดา (สงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี นางสาวรัชนก (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี และ นายนพันษกรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกง , ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอสารราชการปลอม , โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด , ร่วมกันฟอกเงิน , สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่มีการสมคบกัน
นอกจากนี้ จับกุมผู้ต้องหาร่วมกันฟอกเงินอีก 6 คน ประกอบด้วย นายสรวัฒ (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี นางมนชยา (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี นายพุทธิวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี นางสาวฤมลชนก (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี นายณัฏฐ์สันต์ทัศน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี นางสาวสงกรานต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงิน , สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่มีการสมคบกัน
หลังจากช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 กลุ่มผู้เสียหายหลายราย เข้าร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ว่าเมื่อปี 2559 น.ส.รัชญาผู้ต้องหา อ้างว่ารู้จักกับสถาบันการเงิน สามารถเข้าถึงโครงการเงินกู้วงเงินสูง อัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยแอบอ้างหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายเข้าร่วมลงทุน จนทำให้สูญเงินกว่า 2,000 ล้านบาท ต่อมาภายหลังผู้เสียหายไม่ได้รับเงินตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง
จากการสืบสวนทราบว่า เมื่อต้นปี 2559 มีคนแนะนำให้ผู้เสียหายรู้จักกับ น.ส.รัชญา มีการอธิบายขั้นตอนการกู้เงิน และแหล่งที่มาของกู้เงินจากธนาคารเกี่ยวกับธุรกิจ SME วงเงินสูง ดอกเบี้ยต่ำ และใช้เวลาอนุมัติไม่นาน นำเงินกู้ SME มาจากต่างประเทศ ดอกเบี้ยต่ำประมาณ 1-2 % ต่อปี ระยะผ่อนคืนประมาณ 20 ปี ใช้เวลาดำเนินการ 45 วัน ผู้เสียหายต้องการเงินไปทำธุรกิจ จึงทำสัญญานายหน้ากับ น.ส.รัชญา ในวงเงิน 50 ล้านบาท โดยจ่ายค่ามัดจำนายหน้าแก่ น.ส.รัชญา เอาไว้ส่วนหนึ่ง เมื่อถึงกำหนดอ้างว่าติดค่าธรรมเนียม นำหนังสือเอกสารธนาคาร หน่วยงานราชการ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ผู้เสียหายได้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของ น.ส.รัชญา ต่อมาผู้เสียหาย ทำสัญญานายหน้ากับ น.ส.รัชญา เพิ่มเติมอีกในวงเงิน 40 ล้านบาท โดยได้ให้ค่ามัดจำนายหน้าไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน น.ส.รัชญา ก็เริ่มอ้างรูปแบบการเรียกค่าธรรมเนียมในการเบิกถอนเงินจากผู้เสียหายเรื่อยมา และในห้วงหลังได้มีการแอบอ้างองคมนตรี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้เสียหายมากยิ่งขึ้น
ต่อมาปี 2563 ผู้เสียหายไม่สามารถหาเงินโอนจ่ายให้แก่ น.ส.รัชญา ที่อ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม น.ส.รัชญา จึงแนะนำให้ผู้เสียหาย ชักชวนให้บุคคลอื่นมาร่วมจ่ายค่าธรรมเนียมดังกล่าว เนื่องจากผู้ต้องหาอ้างว่าหากไม่ได้เงินมาตามจำนวนที่แจ้งไป จะทำให้เงินที่ผู้เสียหายเคยลงทุนนั้นสูญเปล่า จากนั้นผู้เสียหายจึงเชิญชวนผู้เสียหายรายอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้ามา
ต่อมาต้นปี 2564 น.ส.รัชญา แจ้งว่าบัญชีถูก ปปง. อายัด ได้ให้ผู้เสียหายโอนค่าธรรมเนียมนั้นไปยังบัญชีใหม่ในบัญชีเครือญาติอีกจำนวนหลายบัญชี จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 15 ม.ค.66 น.ส.รัชญา เสียชีวิตลงกะทันหัน จึงตรวจสอบว่าเงินที่ได้ไปดำเนินการอย่างไรต่อ จึงทราบว่าไม่มีโครงการกู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด และเป็นการแอบอ้างหน่วยงานต่างๆปลอมเอกสารธนาคาร ให้มีความน่าเชื่อถือ เป็นเพียงกลอุบายของผู้ต้องหาทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี ที่หลอกลวงผู้เสียหายลักษณะเดียวกันซ้ำไปซ้ำมา จึงเข้าข่ายการฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
จากการตรวจสอบประวัติของ น.ส.รัชญา พบว่า ก่อนเกิดเหตุ ประกอบอาชีพ ขายของออนไลน์ ภายหลังจากการมีเงินจากการหลอกลวง ได้สร้างบริษัทค่ายเพลง ร่วมงานกับศิลปินที่มีชื่อเสียงในวงการ มียอดการรับชมกว่า 8 ล้านวิว ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ในบัญชีเงินฝาก น.ส.รัชญา พบว่ามีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โอนไปยังบัญชีธนาคารของเครือญาติ มีการซื้อทรัพย์สินต่าง ๆ รถหรู บ้าน ของแบรนด์เนม ที่น่าเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด
ต่อมาวันที่ 10 ม.ค.67 บก.ป.นำกำลัง เข้าตรวจค้น 19 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา พิษณุโลก เชียงใหม่ กำแพงเพชร และสมุทรปราการ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 10 คน ซึ่งเป็น
เครือญาติที่พบการผ่องถ่ายเงิน พร้อมตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวนกว่า 279,178,683 บาท ได้แก่ รถยนต์หรู 1 คัน มูลค่า 27 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน มูลค่า 6.5 ล้านบาท เงินสด 554,800 บาท กระเป๋าแบรนด์เนม จำนวน 59 ใบ มูลค่า 4,515,000 บาท นาฬิกาแบรนด์เนม จำนวน 6 เรือน มูลค่า 2,000,000 บาท เครื่องประดับ 41 รายการ มูลค่า 2,700,000 บาท และทรัพย์สินอีกหลายรายการ มูลค่า 1,450,000 บาท
พร้อมทั้งอายัดเงินสดในบัญชีธนาคารกว่า 174 ล้านบาท และอายัดอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 60 ล้านบาท นำส่ง คณะพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อดำเนินคดีต่อไป จากการสอบสวน กลุ่มผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ