ไทยในโลกแห่งความเผ็ด | วรากรณ์ สามโกเศศ
คนไทยกินอาหารรสเผ็ดกันมานมนาน จนหลายคนคิดว่าเป็นชาติที่กินเผ็ดเก่งที่สุดในโลก พริกขี้หนู พริกจินดาและพริกกะเหรี่ยงนั้นเป็นสุดยอดของพริกที่แสนเผ็ด จนมั่นใจว่าไม่มีคนชาติใดสู้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น
คนชาติอื่นเขากินพริกกันมานับพัน ๆ ปีแล้ว และพริกของเรานั้น ความเผ็ดอยู่ในขั้นอนุบาลของโลกเท่านั้น ลองมาดูกันว่าความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นอย่างไร
ภาษาอังกฤษเรียกพริกว่า chili หรือ Chili peppers ในหนังสือน่าสนใจมากชื่อ “พรรณพืชในประวัติศาสตร์ไทย”(2548) โดย ดร.สุรีย์ ภูมิภมร ระบุว่าร่องรอยในถ้ำแถบอเมริกากลางให้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือว่า ผู้คนในอเมริกากลางซึ่งปัจจุบันคือบริเวณประเทศคอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ ฮอนดูรัส ปานามา นิการากัว ฯลฯ กินพริกกันมานานกว่า 9,000 พันปีแล้ว
การกินพริกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม Aztec ซึ่งอยู่ในพื้นที่ประเทศเม็กซิโกซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
คำว่า chili เป็นภาษาของชาว Aztec เช่นเดียวกับ tomato / cocoa / chocolate / avocado / ฯลฯ เมื่อ Christopher Columbus นักเดินเรือผู้แสวงหาเครื่องเทศเดินทางไปทวีปอเมริกาเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน ก็พบพืชพรรณแปลก ๆ และนำกลับไปยุโรป และต่อมาแพร่กระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชีย
มีลูกเรือคนหนึ่งชื่อ Peter Martyr นำเมล็ดพริกไปปลูกที่สเปนและพบว่าเจริญงอกงามดี ผู้คนยุโรปที่แสวงหารสชาติอาหารใหม่ ๆ ที่ไม่จำเจชอบรสเผ็ดของพริกมาก นอกจากนี้การค้าระหว่างประเทศในยุคนั้นทำให้พืชจากทวีปอเมริกา เช่น มะเขือเทศ ต้นยาสูบ โกโก้ ข้าวโพด พริก มันเทศ มันฝรั่ง ฯลฯ กระจายออกไปทั่วโลกอีกด้วย
เชื่อว่าพริกเข้าสู่สังคมไทยในอีก 50ปีต่อมาหรือเมื่อประมาณ 450 ปีก่อน ซึ่งตรงกับกลางสมัยอยุธยา หรือประมาณ พ.ศ. 2117 หลังกรุงแตกครั้งที่หนึ่งเล็กน้อย ดังนั้น คนไทยจึงรู้จักรสเผ็ดจากพริกกันเพียงไม่ถึง 500 ปี อาหารของคนสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้นจึงน่าจะจืดชืดเพราะขาดลักษณะ “ถูกปาก เจ็บปวด รวดเร็ว และราคาถูก” ของพริกอย่างน่าเสียดาย
เมื่อพริกพลิกผันคุณภาพชีวิตให้มีสีสันมากขึ้นผ่านการเปลี่ยนแปลงของสูตรประกอบอาหาร พฤติกรรมการบริโภคตลอดจนวิถีการดำรงชีพก็เปลี่ยนไป มนุษย์เกิดความอยากรู้ว่าพริกที่มีหลายพันธุ์ในหลายพื้นที่ของโลกนั้น ที่ใดจะมีความเผ็ดกว่ากัน และมากน้อยเพียงใด
พริกเป็นพืชที่ผสมพันธุ์ภายในต้นและสามารถข้ามต้นได้ ดังนั้นจึงทำให้เกิดสายพันธุ์ของพริกจำนวนนับพัน ๆ ในทางวิชาการแบ่งพริกออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มใหญ่สุด มีมากกว่า 1,000 สายพันธุ์
บ้านเรามีการปลูกถึงกว่า 30 สายพันธุ์ ที่โดดเด่นได้แก่ พริกชี้ฟ้า พริกชี้ฟ้าใหญ่ พริกแดง พริกขี้หนู พริกหวาน ฯลฯ พริกหยวกที่นิยมเอาไปทำน้ำพริกหนุ่มก็อยู่ในกลุ่มนี้ ส่วนพริกประเภทที่สอง สำหรับในบ้านเราได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกห้วยสีทน พริกจินดา ส่วนพริกประเภทที่เหลือไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรา
ในปี ค.ศ. 1912 เภสัชกรชาวอเมริกัน ชื่อ Wilbur Scoville ประดิษฐ์สเกลวัดความเผ็ดของพริกขึ้นโดยวัดหาสารเคมีธรรมชาติที่ทำให้เกิดความเผ็ดในพริกคือ Capsaicin ในตอนแรกใช้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านรสเผ็ดช่วยกันประเมินระดับความเผ็ดโดยมีหน่วยเป็น SHU (Scoville Heat Unit) และตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา
ความเผ็ดก็ได้รับการประเมินด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า HPLC (High-Performance Liquid Chromatography) ซึ่งเป็นวิธีวัดเพื่อให้หน่วยความเผ็ด SHU ที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพกว่า
ต่อไปนี้คือระดับความเผ็ดของพริกที่ลดหลั่นกันลงมา เพื่อให้เห็นภาพของระดับ "ความเจ็บปวดแต่อร่อย” ว่าพริกที่เรากินกันอยู่ในระดับใด สูงสุดคือ Pepper X (เผ็ดสุด ๆ ที่ 2.693 ล้าน SHU) / Carolina Reaper (1.5-2.5 SHU) / พริกขี้หนูของไทยที่มีชื่อเรียกว่า Bird’s eye chili (50,000-100,000 SHU) / ส่วนพริกจินดาของไทยที่ได้ยินคนเอ่ยถึงกันทั่วไปและพริกกะเหรี่ยงก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
สเกลนี้แสดงให้เห็นว่าพริกที่ว่าเผ็ดมาก ๆ ของบ้านเรานั้นอยู่ในระดับอนุบาลมากเมื่อเทียบกับพริกที่เผ็ดสุดของโลกกล่าวคือเผ็ดน้อยกว่าประมาณ 27 เท่า ส่วนพริกอินเดียพันธุ์ Naga Viper pepper ที่ว่าเผ็ดร้ายกาจนั้นอยู่ในระดับ 750,000-1,500,000 SHU
Pepper X เพิ่งได้การยอมรับจาก Guinness World Records ในปี 2023 ว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกซึ่งเกิดขึ้นจากการผสมข้ามพันธุ์โดยคนอเมริกัน ชื่อ Ed Currie ซึ่งก่อนหน้านี้ พันธุ์ Carolina Reaper อันเป็นผลงานของเขาเช่นกันได้ครองแชมป์โลกอยู่ เป็นเวลา 10 ปี
เขาบอกว่าผสมโดยเลือกคุณลักษณะที่ต้องการจากพันธุ์ต่าง ๆ ต้องผสมอยู่ 8-12 ช่วงชีวิตพริก พันธุ์ใหม่จึงจะเสถียรพอนำไปตรวจสอบได้ เขามิได้ผสมพันธุ์เล่นหากมุ่งไปทางการค้า เพราะเขาเป็นฟาร์มผลิตพริกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ
การผลิตพริกที่เผ็ดและมีรสชาติดีจะทำให้ต้นทุนในการผลิตซอสพริกและพริกบดเพื่อเอาไปทำอาหารต่ำลงเนื่องจากใช้ปริมาณพริกน้อยกว่าก็ถึงความเผ็ดระดับเดียวกัน
ผู้กิน Pepper X บอกว่าจะรู้สึกรสชาติเพียง 1 ในพันของวินาที หลังจากนั้นความเผ็ดร้อนก็จะเข้าแทนที่อย่างแทบทนไม่ได้ มีอาการปวดเกร็งในท้องอย่างมาก และจะกลับมาเป็นปกติหลังจาก เวลา5-6 ชั่วโมงผ่านไป สำหรับ Carolina Reaper ซึ่งเป็นฐานของการต่อยอดพันธุ์ Pepper X นั้นใช้เวลาฟื้นตัวเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
พริกให้แง่คิดชีวิตว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นอย่างหนึ่งนั้น อาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้สำหรับคนอื่น ๆ อาหารที่ตัวเราเองรู้สึกว่าเผ็ดร้อนมากนั้นสำหรับบางคนแล้วจะรู้สึกเอร็ดอร่อยอย่างไม่รู้สึกเผ็ดเลยแม้แต่น้อย รสนิยมและความคิดของเราจึงไม่เป็นสิ่งที่ตายตัว และคนอื่นไม่จำเป็นต้องเหมือนเรา
พริกสอนให้ซาบซึ้งวลี “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” อย่างแท้จริง เพราะหากต้องการกินเผ็ดเอร็ดอร่อยในมื้อนี้ก็ต้อง “จ่าย” ด้วยความเเสบที่ตามมาในห้องน้ำของวันรุ่งขึ้น.