“พาชมพิพิธภัณฑ์ 9/11 ”

“พาชมพิพิธภัณฑ์ 9/11 ”

อาคาร World Trade Center ถล่มลงมาเมื่อ 11 กันยายน 2001 มีเศษซากชิ้นส่วนกระจัดกระจายมากมาย ต้องใช้เวลาเคลียร์พื้นที่นานถึง 9 เดือน

แต่วัสดุเหล่านั้น เขาไม่ได้ขนไปทิ้งทั้งหมดครับ

ไม่ว่าจะเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น รองเท้าหนึ่งคู่ หมวกหรือถุงมือของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาติดผนัง ฯลฯ 

แม้ชิ้นส่วนใหญ่ๆอย่างกำแพง และเสาอาคาร บันไดคอนกรีตซึ่งผู้รอดชีวิต ใช้หนีออกจากอาคาร เสาสื่อสารบนยอดตึก รถดับเพลิง รถตำรวจ ฯลฯ ที่ถูกเพลิงเผาผลาญจนหมดสภาพ…. เขาก็เก็บไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ดู และรำลึกถึงเหตุการณ์วันนั้น 

สัปดาห์ก่อน ผมแวะไปที่ “พิพิธภัณฑ์ 9/11” ซึ่งเก็บเรื่องราวและเศษซากต่างๆไว้

ย้อนไปเมื่อ 11 กันยา 2544 ผมสอนหนังสือเสร็จเวลา 21.00 น พอขึ้นรถกลับบ้าน ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า WTC ถูกเครื่องบินชน ไฟกำลังลุกไหม้ เห็นกันชัดๆสดๆทางโทรทัศน์

ไม่กี่นาทีต่อมา ผมรับโทรศัพท์แจ้งอีกว่า เครื่องบินอีกลำหนึ่ง พุ่งเข้าชนตึกที่สองแล้ว พอกลับถึงบ้านผมก็ได้เห็นอาคารพังทลายลงมา ต่อหน้าต่อตาในจอทีวี มันเป็นภาพแห่งความทรงจำ

ผมเพิ่งได้ไปเห็นซากชิ้นส่วนจริงๆ ด้วยตาตนเอง ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ

พอก้าวเข้าไป ภาพแรกที่เห็น ก็คือภาพถ่ายขนาดใหญ่ของเกาะแมนฮัตตัน เห็นผิวน้ำ East River สงบนิ่งอยู่ข้างหน้า จุดเด่นของภาพคือ WTC ที่สง่างาม สูงเสียดฟ้าสีคราม

ที่สำคัญคือ ภาพนี้ถ่ายจาก Brooklyn เมื่อเวลาประมาณ 8.30 น. ของวันที่ 11 กันยายน 2001 ก่อนที่เครื่องบินจะพุ่งเข้าชน เพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง

ใครที่อายุเกิน 30 ปี คงจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี ผมเองพอได้มาเห็นเศษซากชิ้นส่วนแล้ว

บางจุดยังต้องพยายามกลั้นน้ำใสๆมิให้ไหลซึมเบ้าตา

ได้ฟังเทปบันทึกเสียง ของผู้โดยสารหญิงคนหนึ่ง โทรศัพท์ไปบอกสามีว่าฉันอยู่ในเครื่องบินที่ถูกไฮแจ็ค ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอบอกว่าฉันรักเธอนะ รักเธอมากๆ ฝากบอกลูกๆด้วยว่าฉันรักทุกคน

หรือรองเท้าส้นสูงเปื้อนเลือด ของพนักงานหญิงที่ทำงานในตึกนั้น นาฬิกาข้อมือของหญิงคนหนึ่ง ที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล เธอบอกหมอว่า ถ้าจะต้องตัดแขนฉันทิ้ง ช่วยเก็บนาฬิกาข้อมือนี้ไว้ให้ด้วยนะ คู่หมั้นฉันให้มา

หรือภาพของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ที่วิ่งขึ้นบันได สวนทางกับผู้ประสบภัย ซึ่งกำลังวิ่งหนีลงบันได แต่เขาสวนทางขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่และอาจไม่มีชีวิตกลับลงมาอีกเลย

รถดับเพลิง รถตำรวจ ที่ถูกไฟเผายับเยิน เสาเหล็กบริเวณที่เครื่องบินพุ่งเข้าชน เสาสื่อสารบนยอดสูงสุดของตึก วิทยุสื่อสารที่วิศวกรบนยอดตึก กว่า 10 คน ใช้รายงานสถานการณ์

จนสุดท้ายก็เสียชีวิตหมดทุกคน

หรือภาพคนนับร้อย ที่ทนความร้อนและควันเพลิงไม่ไหว ตัดสินใจกระโดดจากตึกลงมาสู่ความตาย ทีละคนสองคน ผู้เห็นเหตุการณ์ข้างล่าง ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี

หรือกระดาษขาวเพียงแผ่นเดียว ที่ตกหล่นอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งมีข้อความเขียนด้วยลายมือว่า บนอาคารชั้นนั้น มีผู้คนติดอยู่อีกหลายคนนะ ฯลฯ 

พอจะนึกภาพความโกลาหลในเช้าวันนั้น ได้หรือยังครับ ลูกสาวคนเล็กของผม เมื่อวันเกิดเหตุอายุ 5 ขวบ จำความอะไรไม่ได้ แต่พอโตขึ้นและได้ไปดู ก็บอกว่าน้ำตาคลอ

เราพูดเสมอว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาส “วิกฤต 9/11ทำให้เกิดอะไรขึ้นหลายอย่างในอเมริกา และ พิพิธภัณฑ์ 9/11 ก็เป็นหนึ่งในนั้น 

ไทยเราก็มี “วิกฤติ” เกิดขึ้นหลายครั้ง ที่คนทั้งโลกรับรู้ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง หรือ สึนามิ ถล่มภูเก็ตและพังงา และ หมูป่าติดถ้ำหลวง  ซึ่งเป็นข่าวที่คนทั้งโลกเกาะติดสถานการณ์

น่าเสียดายที่เราปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป โดยไม่สร้างโอกาสให้เกิดขึ้น เช่นกรณีสึนามิ และถ้ำหลวง เราควรจะสร้างพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต โดยเก็บชิ้นส่วนต่างๆไว้ให้คนไทย และนักท่องเที่ยวได้ชม 

ผมเคยเสนอ ให้เก็บซากและชิ้นส่วนต่างๆไว้ทั้งหมด อย่างกรณีถ้ำหลวง ควรเก็บจักรยาน 13 คันที่เด็กๆขี่ไปจอดหน้าถ้ำ เต็นท์บัญชาการ อุปกรณ์เครื่องครัว ช้อน กะทะ หม้อหุงข้าว หรืออุปกรณ์ต่างๆที่ถูกนำไปใช้ในการขุดถ้ำ 

เช่นชุดมนุษย์กบ ถังออกซิเจน เสื้อผ้าในชุดปฏิบัติการของตัวละครสำคัญ เช่นผู้ว่าหมูป่า

จ่าแซม หน่วยซีล โต๊ะแถลงข่าว ฯลฯ​ 

ผมได้เสนอให้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ให้คนไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ชมกัน เพราะจะทำให้ได้ทั้งความรู้ บทเรียน สติ และยังได้สตางค์จากนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วย 

นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พล.อ. ประยุทธ์ จันท์โอชา ได้นำข้อคิดของผมไปอ่านทางโทรทัศน์ แล้วประกาศว่าเราควรทำให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งทำให้ผมยินดีและมีความคาดหวังว่า เราจะเห็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตเกิดขึ้น 

ถึงวันนี้ผมรับรู้แล้วว่า ฝันที่ผมวาดไว้นั้นไม่เป็นจริง

หลังสึนามิผ่านไป 4-5 ปี ผมได้ไปเยือนภูเก็ต ขอให้คนขับรถทัวร์พาไปชมอนุสรณ์สถานที่สร้างไว้ เขาบอกผมว่าไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ไม่ควรไปดูให้เสียเวลา 

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมไปบรรยายที่เชียงราย ผมถามเรื่องถ้ำหลวง เพื่อนฝูงที่นั่น บอกกับผมตรงกันว่าไม่มีอะไรตื่นเต้นหรอก ไม่ต้องไปดูก็ได้

ฟังแล้วเศร้าใจจังเลยครับ เพราะ อดีต เราก็ไม่เก็บ อนาคต เราก็ไม่สนใจ เพราะยังมาไม่ถึง เราจึงอยู่กับ ปัจจุบัน เพียงอย่างเดียว…. เอ! แต่พอคิดอีกที เราก็น่าจะเป็นชาวพุทธที่ดีนะ คืออยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

 เพียงแต่ว่า  “ปัจจุบัน” ของเรา มันก็ขมุกขมัวเอาการเลยนะครับ!