ปัญหาใหญ่ขั้นวิกฤติของโลกและของไทยด้วย

ปัญหาใหญ่ขั้นวิกฤติของโลกและของไทยด้วย

โลกมีปัญหาใหญ่ขั้นวิกฤติอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.วิกฤติระบบนิเวศ/สภาวะแวดล้อม และ 2.ปัญหาโรคระบาด สงคราม ปัญหาด้านเศรษฐกิจการเมือง

1.วิกฤติระบบนิเวศ/สภาวะแวดล้อม 

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมเสนอรายงาน เรื่อง “ขีดจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมของโลก” (Planetary Boundaries) ไว้ โดยชี้ให้เห็นว่า ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่นั้นแต่ละเรื่องมีความรุนแรงแค่ไหน และแต่ละเรื่องอยู่ในขีดความสามารถของโลกที่จะรับได้มากน้อยแค่ไหน

ปัจจุบันโลกมีปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่ 3 ข้อด้วยกันที่รุนแรงเกินระดับที่โลกสามารถรองรับได้อย่างปลอดภัย ได้แก่

1. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดจากการที่มนุษย์ผลิตและบริโภคมากไป ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์หลายชนิดพันธุ์ทั่วโลก

2. ปัญหาจากไนโตรเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปุ๋ยทางการเกษตรที่ปนเปื้อนดินและน้ำ

3. วิกฤติภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อน ซึ่งรุ่นแรงมากขึ้นจนบางคนเรียกว่าภาวะโลกแปรปรวน รวมทั้งน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น เกิดปัญหาพายุ ภัยพิบัติต่างๆ เพิ่มขึ้น ฯลฯ

นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำว่า หากปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็วและปล่อยให้อยู่ในภาวะที่เกินขีดความสามารถของโลกที่จะรับได้เป็นเวลานาน จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโลกไปในทางเสื่อมโทรมลงอย่างถาวรไม่หวนกลับ โลกอาจจะกลายเป็นสถานที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยได้น้อยลง (less habitable place)

สำหรับปัญหาอื่นๆ ที่เป็นปัญหารองลงมาได้แก่ ปัญหาจากฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้น (หลักๆ เกิดจากปุ๋ยเคมีเช่นเดียวกับปัญหาจากไนโตรเจน) ภาวะมหาสมุทรเป็นกรด เกิดจากการที่มหาสมุทรดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้

ปัญหาตัดไม้ทำลายป่าและการใช้ที่ดินทำการเกษตรและทำอย่างอื่นๆ ปัญหาการขาดแคลนน้ำจืด และการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้สูญเสียชั้นโอโซนในบรรยากาศ

ปัญหามลภาวะอีก 2 ปัญหา คือมลพิษทางเคมี และปัญหามลพิษในชั้นบรรยากาศนั้น ยังไม่มีการเก็บข้อมูลที่ดีมากพอที่จะบอกได้ว่าความรุนแรงของปัญหาอยู่ในระดับใด (รายงานปี 2565) 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เชื่อมโยงกันและซ้ำเติมกันและกัน ทำให้เกิดปัญหารุนแรงและรวดเร็วขึ้นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างดีพอ

2.ปัญหาโรคระบาด สงคราม ปัญหาด้านเศรษฐกิจการเมือง 

ในช่วง 4 ปีหลัง (ปี 2563-2565) โลกเกิดปัญหาโรคระบาดจากไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 ที่ทำให้คนติดเชื้อราว 679 ล้านคน และเสียชีวิต 6.79 ล้านคน (Worldometers.info/coronavirus สถิติถึง 22 ก.พ. 2566) ปัญหานี้ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ/ชะลอตัว เพราะมาตรการระมัดระวังการปิดประเทศ ปิดเมืองต่างๆ ฯลฯ

ปัญหาโรคระบาดครั้งนี้มีจำนวนคนติดเชื้อมาก เพราะประชากรโลกยุคใหม่ติดต่อค้าขายกันมาก เกิดเมืองใหญ่ที่คนอยู่กันอย่างแออัดมาก การลงทุนด้านสาธารณสุขโดยรวมแล้วยังไม่มาก ไม่ดีพอ แม้อัตราการเสียชีวิตจะไม่สูงมากนัก (เทียบกับประชากร) เพราะโลกสมัยใหม่รับมือได้ดีขึ้น แต่คนติดเชื้อที่อยู่รอดมาได้ก็มีร่างกายที่อ่อนแอลง/มีภูมิต้านทานต่ำลง

ปีถัดมามีปัญหารัสเซียบุกยูเครน เป็นสงครามรุนแรงและที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อการที่สหรัฐและยุโรปตะวันตกคว่ำบาตร ไม่ซื้อน้ำมัน ก๊าซจากรัสเซีย ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น ธัญญาหารจากยูเครนซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญแห่งหนึ่งก็มีปัญหาทั้งเรื่องการผลิตและการส่งออก

ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยทั่วไป นอกจากนี้ก็มีปัญหาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งมีท่าทีว่าจะโยงไปสู่กับอิหร่านด้วยและปัญหาสงครามในบางพื้นที่ด้วย

ปัญหาด้านเศรษฐกิจการเมืองที่สำคัญของโลกรวมทั้งไทยด้วย คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนรวย คนจน ปัญหาความยากจนขาดแคลน ปัญหาสุขภาพอนามัย การขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ ปัญหาอาชญากรรมความรุนแรงและปัญหาสังคมอื่นๆ

ปัญหาทั้งหมดชี้ว่าประชาคมโลกยังคงอยู่ในยุคแข่งขันแบบชาติใครชาติมัน มีขีดความสามารถในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งโลกได้จำกัด แม้แต่ประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมก็ลดปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมในประเทศตนเองได้ในระดับหนึ่ง

แต่กล่าวโดยรวมปัญหาของทั้งโลกยังคงรุนแรงกว้างขวางอยู่ จำเป็นที่มนุษย์ที่มีความรู้สติปัญญาจะต้องช่วยกันคิด พัฒนา แก้ไขปัญหาสำคัญๆ เหล่านี้ให้ได้ผลยิ่งขึ้น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่กระทบต่อปัญหาของคนทั้งโลกได้

ปัญหาโลกโดยสรุป ทั้งโลกรวมทั้งไทย ยุคปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสูงกว่ายุคก่อนมีอาหารการกินเพิ่ม มีสาธารณสุขที่ดีขึ้น ประชากรเพิ่มขึ้นมาก อายุยืนขึ้น

 แต่ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า การกดขี่ขูดรีดแรงงาน ที่สร้างความขัดแย้ง สงคราม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ปัญหาความยากจนขาดแคลนในหมู่คนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของโลก

รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม เช่น อาชญากรรม ความรุนแรง การทุจริตฉ้อฉล หลอกลวง การเอาเปรียบผู้หญิงและเด็ก สุขภาพอนามัย สุขภาพจิต ฯลฯ อยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ต่ำ ขณะที่คนจนในประเทศรายได้สูงก็มีปัญหาหลายด้านมากด้วยเช่นกัน

ปัญหาที่กล่าวมาเกิดจาก 2 เรื่องที่สำคัญคือ 

1.ลัทธิชาตินิยมแบบหาผลประโยชน์เฉพาะของชาติตนและแย่งกันเป็นใหญ่ 

2.การพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ที่เน้นการหากำไรสูงสุดและบริโภคสูงสุดของเอกชน การมุ่งหาเงินแบบตัวใครตัวมันของปัจเจกชน ความเจริญเติบโตของสังคมเมืองที่เน้นการเติบโตทางวัตถุ ปัญหาชาตินิยม ชนชาตินิยม ศาสนานิยมแบบสุดโต่ง ทำให้เกิดสงครามและความรุนแรงระดับต่างๆ ในหลายภูมิภาคมาโดยตลอด

ประชากรโลกยังต้องเรียนรู้เรื่องการหาทางอยู่ร่วมกันแบบแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ทุกคนอยู่ได้อย่างพอเพียง แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการเจรจาตกลงกันอย่างอะลุ่มอล่วยและสร้างสรรค์มากกว่าที่เป็นอยู่

บรรพบุรุษของเราในยุคหาของป่าล่าสัตว์ เคยอยู่กันอย่างเสมอภาค เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาก่อน เราน่าจะสร้างสังคมแนวสังคมนิยมอนาคิสต์แนวอนุรักษ์ระบบนิเวศ ที่จัดระบบเศรษฐกิจสังคมแบบอยู่กันเป็นชุมชนขนาดเล็ก

ที่ประชาชนจัดการตนเองอย่างเป็นประชาธิปไตยและเป็นอิสระ และติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายกับชุมชนอื่น ในรูปเครือข่ายสหพันธ์ชุมชนที่ต่างคนต่างเป็นอิสระ เสมอภาคและเป็นประชาธิปไตย เป็นสากลนิยมที่ไม่แบ่งเชื้อชาติ เน้นทั้งความเสมอภาคและความเป็นอิสระของประชาชน.