บทเรียน 3 ประเทศเก็บ‘ค่าธรรมเนียมรถติด’
ข่าวหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ แนวคิดที่จะเก็บค่าธรรมเนียมการจราจร หรือที่เรียกว่า “ค่าธรรมเนียมรถติด" (Congestion Charge) มีพื้นที่เป้าหมายคือ ย่านสุขุมวิท รัชดาภิเษกและสีลม
โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมขับรถเข้าเมืองในช่วง 5 ปีแรก 40-50 บาทต่อครั้ง รายได้จากการจัดเก็บจะนำไปใช้สนับสนุนให้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทเป็นจริง
แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในหลายเมือง การเรียนรู้จากเมืองเหล่านี้น่าจะช่วยให้เรามีข้อมูลในการคิดต่อว่าในกรณีของกรุงเทพมหานคร การทำแบบนี้จะได้มากกว่าเสียหรือไม่
สิงคโปร์และลอนดอนเป็นตัวอย่างความสำเร็จในการใช้ระบบนี้ สิงคโปร์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2518 ด้วยระบบ Electronic Road Pricing (ERP) ที่มีการปรับราคาตามเวลาและสถานที่แบบไดนามิก ในขณะที่ลอนดอนเริ่มในปี 2546 และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองเมืองประสบความสำเร็จ เพราะมีการวางแผนอย่างรอบคอบ มีการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะควบคู่กันไป และมีการสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้คือปัญหาการจราจรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น และระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในกรณีของสตอกโฮล์มแม้จะมีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ระบบถูกออกแบบและดำเนินการอย่างดี ประชาชนจะเห็นประโยชน์และให้การสนับสนุนในที่สุด เมื่อเริ่มใช้ระบบในปี 2550 มีการคัดค้านอย่างหนัก แต่หลังจากเห็นผลลัพธ์ที่ดี โดยเฉพาะปัญหาการจราจรที่ลดลงถึง 20% คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น และระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนก็เริ่มให้การสนับสนุน
กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการที่นโยบายที่อาจไม่เป็นที่นิยมในตอนแรก สามารถได้รับการยอมรับหากมีการดำเนินการที่ดีและเกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม
การสื่อสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ทุกเมืองที่ประสบความสำเร็จล้วนใช้เวลาในการให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างจริงจัง มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น การทำแคมเปญประชาสัมพันธ์ และการสร้างความเข้าใจผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินอย่างโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
การเตรียมความพร้อมของระบบขนส่งสาธารณะเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยต้องพัฒนาให้พร้อมก่อนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียม ทั้งการเพิ่มความถี่ของรถโดยสาร การขยายเส้นทาง การปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ความสะดวกในการเชื่อมต่อระหว่างระบบขนส่งต่างๆ มีการพัฒนาทางเท้า ทางจักรยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย
ความเป็นธรรมทางสังคมเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะระบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยมากกว่ากลุ่มอื่น ทุกเมืองจึงมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น การให้ส่วนลดค่าธรรมเนียม การแจกบัตรโดยสารรถสาธารณะฟรีหรือราคาพิเศษ การคืนภาษี หรือการให้เงินอุดหนุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งยังต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่ต้องเดินทางเพื่อรับการรักษาพยาบาลเป็นประจำ
เทคโนโลยีและการบริหารจัดการระบบต้องมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ ต้องลงทุนในระบบที่ทันสมัย ทั้งระบบจดจำป้ายทะเบียน ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกและปลอดภัย และระบบติดตามผลแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำ ต้องมีระบบสำรองและแผนรับมือกับเหตุขัดข้อง มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลระบบ และมีศูนย์บริการลูกค้าที่พร้อมแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง
การกำหนดราคาและเงื่อนไขต้องมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทของเมือง โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งช่วงเวลา พื้นที่ ประเภทของยานพาหนะ และสภาพการจราจร ควรมีการปรับราคาตามช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น มีข้อยกเว้นหรือราคาพิเศษสำหรับรถขนส่งสินค้าในบางช่วงเวลา และมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ นอกจากนี้ควรมีการประเมินและปรับปรุงโครงสร้างราคาเป็นระยะเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การสนับสนุนภาคธุรกิจเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะธุรกิจในพื้นที่อาจได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้า จึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น การให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมสำหรับรถขนส่งสินค้า การยกเว้นค่าธรรมเนียมในบางช่วงเวลา การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือการสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจ เช่น การช่วยพัฒนาระบบขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ หรือการส่งเสริมการค้าออนไลน์
การติดตามและประเมินผลต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยต้องวัดผลในหลายมิติ ทั้งด้านการจราจร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลเหล่านี้ต้องถูกนำมาวิเคราะห์และใช้ในการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบเพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่น
ความสำเร็จของระบบนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมือง ผู้บริหารเมืองต้องมีวิสัยทัศน์และความกล้าที่จะผลักดันนโยบาย เพราะการแก้ปัญหาการจราจรและการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ต้องใช้เวลา และต้องมีความต่อเนื่องนานพอถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม