โดนแล้ววัยรุ่น! จับ 2 หนีป่าราบ 1 ขณะส่งมอบปืนดัดแปลงลำกล้อง
อย่าหาทำ โดนแล้ววัยรุ่น! จับ 2 หนีป่าราบ 1 ขณะส่งมอบปืนดัดแปลงลำกล้อง โพสต์ขายในเฟซบุ๊ก
เตือนอย่าหาทำ โดนแล้ววัยรุ่น! จับ 2 หนีป่าราบ 1 ราย ขณะส่งมอบปืนดัดแปลงลำกล้อง โพสต์ขายในเฟซบุ๊ก
ตามที่ตำรวจสืบนครบาล รวบสองวัยรุ่นสาย 3 ขณะนำปืนดัดแปลงลำกล้องมาส่งในปั๊มน้ำมัน ส่วนเพื่อนที่มาด้วยเผ่นกันป่าราบ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เจ้าหน้าที่ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. จับกุมตัวนายธีรวัฒน์ อายุ 23 ปี และนายศิริพงศ์ อายุ 28 ปี
โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร
จับแก๊งวัยรุ่น ปืนดัดแปลงลำกล้อง โพสต์ขายในเฟซบุ๊ก พร้อมด้วยของกลาง
1.อาวุธปืน ( ประดิษฐ์ ดัดแปลงลำกล้อง ) ขนาด .380 จำนวน 1 กระบอก
2.ซองกระสุนปืน (แม็กกาซีน) จำนวน 1 ซอง
3.เครื่องกระสุนปืนขนาด .380 จำนวน 30 นัด
4.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า GIORNO (คันที่ 1 )
5.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ 110 i (คันที่ 2 )
6.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ 125 i สีเขียว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (คันที่ 3 )
สถานที่จับกุม บริเวณภายในสถานีบริการน้ำมัน สาขาพุทธมณฑล สาย 3 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ
พฤติการณ์แห่งคดี ก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ได้ออกติดตามสืบสวนหาข่าว เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดที่ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางในการติดต่อ
ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. และได้รับแจ้งจากสายลับ ให้ข้อมูลว่านายธีรวัฒน์ (ทราบชื่อจริง นามสกุลจริงภายหลัง) ใช้บัญชีเฟสบุ๊คในการขายอาวุธปืน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ออกสืบสวนติดตามเรื่อยมา
จนกระทั่งวันนี้ ( 24 ต.ค.67 )ช่วงเวลาประมาณ 10.30 น. พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ได้มีสายลับเข้ามาพบและแจ้งว่า มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่งได้เสนอขาย อาวุธปืน (ประดิษฐ์ดัดแปลงลำกล้อง ) ขนาด .380 ในราคา 16,000 บาท และเครื่องกระสุนปืน ขนาด .380 มม. ในราคา 2,500 บาท ราคารวมทั้งสิ้น 18,500 บาท
โดยนัดหมายให้มารับ บริเวณภายในสถานีบริการน้ำมัน สาขาพุทธมณฑล สาย 3 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ พ.ต.ต.สมพรฯ จึงรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อขออนุมัติในการล่อซื้อจับกุมผู้กระทำความผิด และได้วางแผนการล่อซื้อเพื่อทำการจับกุมผู้กระทำความผิด
ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. จึงได้ออกเดินทาง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงบริเวณจุดนัดหมาย เวลาประมาณ 21.10 น. พบชายวัยรุ่น 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์มา 3 คัน มายังจุดที่รถยนต์ของสายลับซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ขับขี่จอดอยู่บริเวณภายในปั๊ม เพื่อทำการซื้อขายอาวุธปืนของกลางดังกล่าว
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นอาวุธปืนของกลางดังกล่าว เมื่อนายธีรวัฒน์ฯ ได้รับเงิน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและสายลับที่ทำการล่อซื้อได้ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่สังเกตการณ์อยู่บริเวณใกล้เคียงเข้าทำการจับกุม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มชายดังกล่าวได้วิ่งหลบหนีกระเจิดกระเจิง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวไว้ได้ 2 คน คือนายธีรวัฒน์ และนายศิริพงศ์
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามนายธีรวัฒน์ฯ แจ้งว่าพวกที่หลบหนี ทราบเพียงชื่อเล่นว่านายมาร์ค กับนายเก้า ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายธีรวัฒน์ฯ และนายศิริพงศ์ฯ พร้อม รถจักรยานยนต์ทั้ง 3 คัน มายัง สน.หนองค้างพลู
ในชั้นจับกุมจากการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืน นายธีรวัฒน์ฯ ได้ให้การว่า ได้เสนอขายอาวุธปืนพร้อมกระสุนดังกล่าวจริง โดยเสนอขายในราคา 18,500 บาท และนายศิริพงศ์ฯ ให้การว่า นายธีรวัฒน์ฯ ได้โทรศัพท์เรียกให้มาคุ้มกันในระหว่างซื้อ-ขาย อาวุธปืน เพราะกลัวว่าจะโดนปล้น จากนั้นได้ทำบันทึกการจับกุม นำตัวส่ง พงส.สน.หนองค้างพลู เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า อาวุธปืนนั้น เป็นต้นตอของการก่อเหตุอาชญากรรมต่างๆ ทั้งเหตุอุกฉกรรจ์ นักเรียนไล่ยิงกัน วัยรุ่นก่อเหตุยิงคู่อริ เป็นต้น โดยทางสืบนครบาลมุ่งเน้นที่จะปราบปรามจับกุมอย่างจริงจังตลอดเวลาตามนโยบายของ ผบ.ตร. และขอฝากเตือนผู้ซื้อ-ขายปืนออนไลน์ มีความผิดทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ผู้ซื้ออาวุธปืนออนไลน์มีความผิดฐาน “ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้า อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต” มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท
ส่วนผู้ขายมีความผิดฐาน “ทำ ประกอบ มี หรือจำหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต” มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000-40,000 บาท