แพทย์เตือน จุดวิกฤติ โรคอ้วนในเด็ก ชี้โตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ป่วยครึ่งประเทศ
แพทย์เตือน โรคอ้วนในเด็กถึงจุดวิกฤติ ชี้เด็กอ้วนโตไปไม่ผอมเอง หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทย จะเป็นผู้ใหญ่ ที่ทั้งอ้วน ทั้งป่วยครึ่งประเทศ ดันกฎหมายคุมการตลาดอาหาร ขนม จูงใจเด็กกินหวานมันเค็ม คาดปัญหาโรคอ้วน 7 ปี เสี่ยงสูงเสียหายทางเศรษฐกิจ 7 แสนล้านบาท
"อ้วน"กันจังช่วงนี้! แพทย์เตือน "โรคอ้วนในเด็ก"ถึงจุดวิกฤติ อ้วนสองเท่า รุ่นพ่อแม่ ชี้เด็กอ้วนโตไปไม่ผอมเอง หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป จะเป็นผู้ใหญ่ ที่ทั้งอ้วน ทั้งป่วยครึ่งประเทศ
พร้อมผลักดันกฎหมายคุมการตลาดอาหาร ขนม จูงใจเด็กกินหวานมันเค็ม ลดปัญหาโรคอ้วนเด็กไทยได้ คาดปัญหาโรคอ้วน 7 ปีข้างหน้า จะทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ 7 แสนล้านบาท
ในโอกาสวันเด็ก 2568 เครือข่ายต้านโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ออกโรงกระตุ้นเตือนภัยโรคอ้วนในเด็กถึงจุดวิกฤติ และเมื่อโตขึ้นจะยังคงอ้วนและมีโอกาสเป็นโรคไม่ติดต่อสูงมาก หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 คน จะทั้งอ้วนทั้งป่วย เสนอกระทรวงสาธารณสุขผลักดันกฎหมายคุมการตลาดอาหารที่จูงใจเด็กกินหวานมันเค็ม เพื่อลดปัญหาโรคอ้วนในเด็กไทย
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ( Association of Thai NCDs Alliance) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นสองเท่าเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน ปัจจัยสำคัญคือการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง
โดยส่วนหนึ่งเพราะเด็กถูกกระตุ้นพฤติกรรมบริโภคจากโฆษณาและการตลาดที่ใช้เทคนิคโน้มน้าวจูงใจเด็ก ทำให้เด็กเกิดความต้องการซื้อและเกิดการบริโภคอาหารหวานมันเค็มมากเกินไปจนเกิดโทษแก่ร่างกาย และยังเป็นการสร้างนิสัยการกินที่ผิด ๆ ซึ่งแก้ไขได้ยากในระยะยาว
ประกอบกับผู้ใหญ่บางส่วนเข้าใจผิดว่าเด็กอ้วนไม่เป็นไรเมื่อโตขึ้นก็จะผอมเอง จึงยินยอมซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูงเกินมาตรฐานให้เด็กบริโภค ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด
สถิติคนอ้วน อ้วนตอนไหนกัน?
จากการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่ที่อ้วนร้อยละ 55 เคยอ้วนตอนเป็นเด็ก ดังนั้นเด็กอ้วนจึงมีความเสี่ยงที่จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนและเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ตั้งแต่อายุยังน้อย หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 จะเป็นโรคอ้วน
นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวอีกว่า การตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมซื้อและบริโภคอาหารที่มีไขมันน้ำตาลและโซเดียมมากขึ้น
ปัจจุบันผู้ผลิตและจำหน่ายใช้เทคนิคการตลาดอาหารฯ เช่น
- การโฆษณาการใช้เนื้อหาที่ดึงดูดใจ
- การจำหน่ายในสถานศึกษา
- การจำหน่ายแบบตรงและออนไลน์
- การจูงใจด้วยราคา
- การแลก แจก แถม ชิงโชค
- การสนับสนุนกิจกรรมของเด็ก
- การบริจาคอาหารสินค้าตัวอย่างให้เข้าถึงเด็กในโอกาสต่าง ๆ
โดยหวังผลด้านสร้างภาพลักษณ์และเพิ่มยอดขายแก่ผลิตภัณฑ์
เปิดผลงานวิจัยการเลือกซื้อของเด็กไทย มาจาการตัดสินใจโดยสื่อโฆษณา
จากการวิจัยพบว่าเด็กไทยประมาณ 70-80% พบเห็นสื่อและเทคนิคการตลาดอาหารเหล่านี้ในชีวิตประจำวันจนชินตา และเลือกซื้อโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ
ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กตามแนวทางเพื่อการยุติโรคอ้วนในเด็กในระดับสากล (Ending Children Obesity : ECHO) ขององค์การอนามัยโลก
ร่างกฎหมายควบคุมการโฆษณาและการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในเด็กและป้องกันโรคไม่ติดต่ออย่างยั่งยืน เครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทยร่วมกับกรมอนามัยและภาคีสุขภาพ ได้ยกร่างกฎหมายควบคุมการโฆษณาและการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก
เพราะมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่าการใช้กฏหมายที่เข้มแข็งควบคุมการโฆษณาการตลาดอาหารที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางโภชนาการที่เหมาะสม นั้น จะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กอย่างชัดเจน
เนื้อหาสำคัญของร่างกฎหมาย ควบคุมการโฆษณา การตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก
- ห้ามทำการโฆษณาที่มีลักษณะโน้มน้าวจูงใจเด็ก
- ห้ามทำการแลก แจก แถม ชิงรางวัล
- ห้ามบริจาคอาหารหรือขนมเหล่านี้ในกิจกรรมของโรงเรียนเพราะเป็นการสนับสนุนที่เชื่อมโยงกับสินค้าโดยตรง
- ห้ามทำกิจกรรมการตลาดออนไลน์
"ร่างกฎหมายนี้ยกร่างมากว่า 3 ปี และผ่านการประชาพิจารณอย่างกว้างขวางแล้ว เมื่อประกาศใช้ จะเป็นเครื่องมือปกป้องเด็กจากการบริโภคที่ไม่เหมาะสมที่ไม่อาจรู้เท่าทันเทคนิคทางการตลาด เพื่อให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งแข็งทางสังคมและเศรษฐกิจด้วยการมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นพื้นฐาน"
โรคอ้วน เกิดจากอะไร?
สาเหตุของโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีความหวานมันเค็มสูงเป็นปัจจัยหลักถึงร้อยละ 80 ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การไม่ออกกำลังกาย และภาวะเครียด เป็นต้น
คาดปัญหาโรคอ้วน 7 ปีข้างหน้า จะทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ 7 แสนล้านบาท
ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่อ้วนและป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
ซึ่งสมาพันธ์โรคอ้วนนานาชาติคาดการณ์ในอีก 6-7 ปี ข้างหน้า จะเกิดภาระทางด้านค่ารักษาพยาบาลและเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 7 แสนล้านบาท รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ กล่าวตอนท้าย