เราเก่งกว่าเขา หรือว่าเราไม่ได้อ่าน ประวัติศาสตร์

ปกของหนังสือชื่อ “สู่จุดจบ!” มีคำโปรยว่า “เราเก่งกว่าเขาหรือว่าเราไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์” หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อต้นปี 2549 เหตุการณ์จากวันนั้นมาชี้ชัดว่า ผู้อ่านบางคนมองไม่เห็นประเด็นหลัก
เป็นเวลากว่า 6 ปี หนังสือเล่มนี้แทบไม่มีผู้พบเห็น หรือมีโอกาสอ่านเพราะคงมีผู้สั่งให้งดจำหน่ายในร้านขายหนังสือ ใครเป็นผู้สั่งยังเป็นปริศนา
เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2555 นสพ. แนวหน้านำหนังสือมาทำสำเนาให้ดาวน์โหลดได้ในระบบอินเทอร์เน็ตพร้อมบอกกล่าวด้วยภาพที่มีข้อความว่า “หนังสือที่ทักษิณไม่อยากให้คนไทยอ่าน”
เวลาผ่านไปจนถึงเดือนมีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาจึงนำมาเสนอให้คนไทยอ่าน แต่มันสายเกินไป
หนังสือหายากมากเนื่องจากโกดังเก็บหนังสือถูกน้ำท่วมเป็นเวลานานในวิกฤติการณ์น้ำท่วมปี 2554 อย่างไรก็ดี ขณะนี้ผู้สนใจอาจดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนาและฟังเสียงอ่านของคุณสมลักษณ์ หุตานุวัตรได้จาก YouTube
ประวัติการพัฒนาและการล่มสลายของสังคม เป็นส่วนแรกของประเด็นหลักซึ่งเป็นฐานในการพิจารณาว่านโยบายการพัฒนาของไทยมีอะไรที่บ่งชี้ว่าผู้กำนโยบายได้อ่านประวัติศาสตร์และนำความรู้มาใช้อย่างเหมาะสม
ข้อสรุปคือ พวกเขาได้ทำให้สังคมไทยสุ่มเสี่ยงสูงต่อความล่มสลายจากการใช้นโยบายจำพวกยืมจมูกผู้อื่นหายใจ ทำลายสิ่งแวดล้อมพร้อมกับมีความฉ้อฉลสูง
ส่วนหลังของประเด็นหลักได้แก่ ผู้กำนโยบายไทยในช่วงเขียนหนังสืออาจจะได้อ่านประวัติศาสตร์แต่มีความประมาทคิดว่าตนเก่งกว่าคนรุ่นก่อนจึงจะสามารถป้องกันมิให้มันเกิดซ้ำรอยได้
อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าพวกเขาไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดกับประเทศชาติมากกว่า เพราะพวกเขาเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อแสวงหาประโยชน์เท่านั้น
นอกจากจะใช้นโยบายแนวเดิมสร้างปัจจัยทำให้สังคมล้มเหลวแล้ว พวกเขายังบวกนโยบายที่ได้ทำให้หลายสังคมล้มเหลวเป็นที่ประจักษ์เข้าไปอีกด้วย นั่นคือ ประชานิยมแบบเลวร้ายจำพวกแจกของให้ประชาชนเสพติด
ประเด็นนี้มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ “ประชานิยม ทางสู่ความหายนะ” ซึ่งดาวน์โหลดและฟังเสียงอ่านได้ฟรีจากที่เดียวกัน
ด้วยเหตุดังกล่าว พวกเขาจึงเป็นผู้เพิ่มความเร่งให้สังคมไทยเดินไป “สู่จุดจบ” ซึ่งอาจแค่ล้มละลาย หรืออาจจะถึงล่มสลายหายนะแบบสูญวัฒนธรรม
ในบรรดาปัจจัยที่จะทำให้สังคมล่มสลาย ความฉ้อฉลของกลุ่มคนกำนโยบายสำคัญที่สุด ในช่วงเวลาจากปี 2544 ที่รัฐบาลนำแนวคิดประชานิยมแบบเลวร้ายเข้ามาใช้
ความฉ้อฉลเพิ่มขึ้นมากจนเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด นายกรัฐมนตรี 2 คนพร้อมกับผู้ร่วมงานส่วนหนึ่งจึงหลบหนีคดีอาญาไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ส่วนผู้ไม่หลบหนีจำนวนมากถูกจำคุก
หลังอดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นหัวจักรใหญ่ในการเริ่มใช้นโยบายประชานิยมหนีไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี มีกลุ่มผู้กำอำนาจของไทยเอื้อให้เขากลับมา “เลี้ยงหลาน”โดยมีการลดโทษจำคุกจาก 8 ปีเหลือเพียง 1 ปี
กระนั้นก็ดี มีความสงสัยอย่างกว้างขวางว่าเขามิได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว กลุ่มผู้กำอำนาจดังกล่าวย่อมเห็นประวัติศาสตร์ที่เขามีบทบาทสด ๆ แบบตำตา
การช่วยเขาให้กลับมาจึงมองได้ว่าประมาทหรือไม่ฉลาดพอที่เชื่อว่าเขาจะกลับมาเลี้ยงหลานเท่านั้น หรือไม่ก็มีความพอใจในพฤติกรรมของเขา
ไม่นานหลังกลับมา เขาออกเดินสายเสนอนโยบายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เวลาเขาออกไปก็มีผู้มาต้อนรับอย่างหนาแน่น ทั้งข้าราชการและประชาชน คนเหล่านี้ย่อมเห็นประวัติสด ๆของเขาเช่นกัน แต่ยังมองว่าน่าชื่นชมส่งผลให้เกิดข้อความหนึ่งซึ่งน่าอดสูแพร่กระจายอยู่ในสื่อต่าง ๆ นั่นคือ “ถึงท่านจะโกง แต่คนไทยก็ได้อยู่ได้กิน”
ในบรรดาสิ่งที่เขาเสนอและได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแบบฉับไวได้แก่การจะให้รัฐบาลล้างหนี้ให้ประชาชน ในขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่ารัฐบาลจะเอาอะไรไปซื้อหนี้ ซื้อเท่าไรและจะต้องค้ำประกันหรือไม่
แต่ขอตีปลาหน้าไซไว้ตรงนี้ว่า ถ้าซื้อหนี้ที่มีอยู่ราว 16 ล้านล้านบาททั้งหมด เมืองไทยจะเดินเข้าสู่ภาวะล้มละลายในอัตราเร่งสูงขึ้น.