สลากดิจิทัล...เกาถูกที่ แต่ไม่หายคัน | วิษณุ วงศ์สินศิริกุล
สร้างความฮือฮาและความภาคภูมิใจให้กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่น้อยสำหรับ “โครงการสลากดิจิทัล” หรือการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ราคา 80 บาทต่อฉบับ ผ่าน “แอปพลิเคชัน (Application) เป๋าตัง” ที่ผ่านไป 3 งวด
ในงวดแรกมีปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกนำออกจำหน่ายทั้งสิ้น 5,173,500 ฉบับ และเริ่มจำหน่ายในวันที่ 2 มิ.ย.2565 ผลปรากฏว่าใช้เวลาประมาณ 5 วัน สลากฯ ก็ถูกจำหน่ายจนหมด
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รายงานว่า มีผู้ซื้อสลากฯ ประมาณ 1.2 ล้านคน ในงวดที่สองมีปริมาณการจำหน่ายทั้งสิ้น 5,151,500 ฉบับ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 วันก็ถูกจำหน่ายหมด ซึ่งในงวดนี้มีผู้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวนทั้งสิ้น 987,786 คน กระทั่งงวดที่สาม มีสลากกินแบ่งรัฐบาลจำหน่ายทั้งสิ้น 5,146,000 ฉบับ และสลากฯ ถูกจำหน่ายหมดในเวลาเพียง 1 วันกับอีก 5 ชั่วโมง โดยมีผู้ซื้อประมาณ 8.8 แสนคน
ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติเห็นชอบให้เพิ่มปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่จำหน่ายผ่านแอปดังกล่าวอีก 2 ล้านฉบับในงวดที่จะเริ่มจำหน่ายวันแรกวันที่ 17 ก.ค.2565 และมีแนวโน้มจะเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ในงวดถัดไป เพียงเพื่อต้องการแก้ปัญหาการจำหน่ายสลากฯ เกินราคา
กล่าวได้ว่าโครงการสลากดิจิทัลนี้อาจนำไปสู่ประเด็นปัญหาอีกสองประเด็น กล่าวคือ ประเด็นที่หนึ่ง เป็นที่เข้าใจและยอมรับในวงกว้างมากขึ้นว่า หัวใจของการแก้ปัญหาการจำหน่ายสลากฯ เกินราคา คือต้องไม่ให้เกิดการนำสลากกินแบ่งรัฐบาลมารวมชุดแล้วจำหน่าย
(โดยส่วนใหญ่ การรวมชุดสลาก คือการนำสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีตัวเลขเหมือนกันทั้ง 6 หลัก มารวมกันเป็นชุด เช่นชุดละ 3 ฉบับ 5 ฉบับ 10 ฉบับ เป็นต้น)
เพราะโดยมากแล้ว สลากฯ ที่ถูกนำมารวมชุดเพื่อจำหน่ายเมื่อคิดเฉลี่ยต่อฉบับจะเกินกว่า 80 บาท ในส่วนของการซื้อสลากดิจิทัลนั้น ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อเลขบนหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เหมือนกันตามที่ต้องการกี่ฉบับก็ได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสลากฯ ที่จำหน่ายผ่านแอปด้วยว่ามีตัวเลขและปริมาณตรงตามที่ต้องการหรือไม่)
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ซื้อจะซื้อสลากฯ ที่มีเลขเหมือนกันหลากหลายชุดตัวเลข แล้วนำมารวมกันเป็นชุดๆ เพื่อจำหน่ายต่อในราคาที่เกินกว่ากำหนด ซึ่งผู้บริหารสำนักงานสลากฯ เองก็ยอมรับว่าสำนักงานสลากฯ ไม่สามารถห้ามผู้ซื้อสลากดิจิทัลแล้วนำไปรวมชุดเพื่อจำหน่ายต่อได้
หากแต่ผู้ที่ซื้อสลากฯ ต่อจะต้องเชื่อใจผู้ที่ซื้อโดยตรงผ่านแอป ว่าไม่คดโกงเมื่อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดนั้นถูกรางวัล เพราะผู้ที่จะขึ้นเงินรางวัลได้คือผู้ที่ซื้อโดยตรงผ่านแอปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก่อนที่จะมีโครงการสลากดิจิทัล มีผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยที่ซื้อสลากฯ ผ่านแอปของบริษัทเอกชนต่างๆ และเมื่อถูกรางวัล ผู้ซื้อก็จะไปขึ้นเงินรางวัลกับบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของแอป มิได้ไปขึ้นเงินรางวัลกับทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
นั่นหมายความว่าในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ผู้ซื้อผ่านแอปนั้นเชื่อใจในเจ้าของแอปอยู่แล้ว และหากพิจารณาถึงจำนวนผู้ซื้อสลากฯ ในโครงการสลากดิจิทัลที่ผ่านไป 3 งวด จะพบว่าจำนวนผู้ซื้อสลากฯ นั้นไม่สอดคล้องกับปริมาณสลากฯ ที่ถูกจำหน่ายในทุกงวด
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมากกว่าหนึ่งฉบับ ดังนั้น อาจนำไปสู่การรวมชุดสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อไปจำหน่ายต่อ และเมื่อยังมีปรากฏการณ์การรวมชุดสลากฯ เพื่อไปจำหน่ายต่อ อาจกล่าวได้ว่าโครงการสลากดิจิทัลนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการจำหน่ายสลากฯ เกินราคาได้
แต่หากสำนักงานสลากฯ ต้องการแก้ปัญหาการซื้อสลากฯ เพื่อไปรวมชุดด้วยการจำกัดปริมาณการซื้อสลากฯ ต่อผู้ซื้อหนึ่งราย ก็อาจนำไปสู่ปัญหาประเด็นที่สอง กล่าวคือ อาจเกิดภาวการณ์ที่สลากกินแบ่งรัฐบาลขายไม่หมด ซึ่งย่อมเป็นภาระของผู้ค้า
ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อผู้ค้าแต่ละรายได้รับสลากฯ มาแล้ว จะต้องทำการสแกนสลากฯ ทั้งหมดไว้บนแอป หลังจากนั้นภารกิจของผู้ค้าคือ การประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ต้องการซื้อเข้าไปเลือกซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากร้านของตนผ่านแอป ดังนั้น ถ้ามีการจำกัดปริมาณสลากฯ ที่ผู้ซื้อแต่ละรายสามารถซื้อได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ค้าหลายรายอาจขายสลากกินแบ่งรัฐบาลของตนไม่หมด
ยิ่งกว่านั้นผู้ค้าก็ไม่สามารถลดราคาสลากที่ขายผ่านแอปได้ ซึ่งต่างจากผู้ค้าที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลตามช่องทางปกติที่สามารถลดราคาขายได้เมื่อใกล้ถึงเวลาออกรางวัล
ดังนั้น คงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปว่า ที่สุดแล้วโครงการสลากดิจิทัลจะนำไปสู่สองประเด็นปัญหาใดดังกล่าวตามข้างต้น หรือจะนำไปสู่ประเด็นปัญหาใหม่หรือไม่ โดยเฉพาะการเพิ่มปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ขายผ่านแอปในงวดต่อๆ ไป
แต่สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนคือ หากผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อตัวเลขบนหน้าสลากฯ และปริมาณสลากฯ ตามที่ต้องการได้ การนำสลากฯ มารวมชุดเพื่อจำหน่ายต่อก็จะไม่มีความหมายใดๆ ต่อผู้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล
จึงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าโครงการสลากดิจิทัลนั้นถือว่าเกาถูกที่ แต่ไม่น่าจะหายคัน และอาจนำไปสู่จุดคันใหม่ก็เป็นได้!