เปิดทางลัดพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการ
เปิดทางลัดพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการ SME เพื่อพัฒนาทักษะให้ธุรกิจเติบโตและมั่นคง
เพราะธุรกิจ SME มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SME จำนวนไม่น้อยที่เริ่มทำธุรกิจด้วยตนเองและทำคนเดียว หรือมีหลายคนอาจไม่ได้เรียนมาสูงแต่มีความสามารถในด้านการผลิต เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการเหล่านี้อาจเริ่มมีปัญหาในการบริหารจัดการมากขึ้นตามไปด้วย
- ทำไม? ผู้ประกอบการ SME ต้องมีการพัฒนาตนเอง
ในหลายกรณีแม้การเริ่มต้นธุรกิจด้วยการใช้คนทำงานเพียงไม่กี่คนในตอนเริ่มแรกอาจมีการบริหารจัดการที่คล่องตัว แต่เมื่อมีการขยายธุรกิจและจ้างคนทำงานมากขึ้นปัญหาก็จะเริ่มตามมา ทำให้ผู้ประกอบการบางคนเริ่มท้อใจ ไม่อยากออกจาก Comfort Zone อยากรักษาธุรกิจของตนเองให้อยู่ในระดับเดิมเพราะเกรงว่าเมื่อมีการขยายงานแล้วการบริหารงานจะเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งความคิดแบบนี้อาจเป็นกับดักที่จะทำให้ธุรกิจของตนเองต้องประสบกับการ Disruption จากการแข่งขันในปัจจุบันและไม่สามารถเติบโตได้
ผู้ประกอบการ SME ที่มีวิสัยทัศน์อยากสร้างความก้าวหน้าและต้องการให้ธุรกิจเติบโตไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่และมั่นคง ต้องมีการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งยังต้องหารวิธีการที่เหมาะกับความรู้ความสามารถ และความต้องการของตนเอง ซึ่งในยุคปัจจุบันสิ่งสำคัญที่ควรต้องพัฒนาความรู้และความสามารถ มีดังนี้
1. ยกระดับความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
การบริหารจัดการธุรกิจได้ดีจำเป็นต้องมีความรู้ด้านการบริหารตลาด บริหารบัญชีและการเงิน การบริหารจัดการทั่วไปและการบริหารด้านการผลิตหรือบริการ ซึ่งความรู้ในเรื่องดังกล่าวผู้ประกอบการสามารถเข้าอบรมสัมมนาได้ตามโครงการต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่จัดให้อบรมและสัมมนาไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์ หรือหากเป็นกรณีที่เจ้าของกิจการไม่ได้จบการศึกษาในด้านบริหารจัดการก็อาจหาวิธีไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อช่วงหลังเวลาทำงานก็ได้ เพราะความรู้เรื่องการจัดการมีความจำเป็นอย่างมากในการบริหารกิจการ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถวางแผนและนำพาให้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้าต่อไปได้
อย่างในปัจจุบัน มีหน่วยงานรัฐหลายแห่งที่ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ในการพัฒนาความรู้ความสามารถใน การบริหารธุรกิจ เช่น โครงการพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, โครงการปรับแผนธุรกิจของสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, โครงการเสริมสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจของกรมพัฒนาผู้ประกอบการ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
2. พัฒนาทักษะที่ผู้นำควรมี
การสร้างทักษะผู้นำจะต้องพัฒนาความสามารถให้เป็นที่ยอมรับของพนักงานและคนรอบข้างได้ ซึ่งการสร้างทักษะจะเป็นการเสริมสร้างปัญญาให้กับผู้ประกอบการ โดยอาจเริ่มจากการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 10 แบบ คือ การช่างสังเกต, การชอบบันทึก, ฝึกการนำเสนอ, รู้จักการรับฟัง, รู้จักการถาม, ชอบวิเคราะห์หาสาเหตุ, ค้นหาคำตอบที่อยากรู้จากแหล่งความรู้, รู้จักการเขียนด้วยการเรียบเรียงความคิด และสุดท้ายต้องรู้จักการเชื่อมโยงเรื่องราวจนเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้
3. สร้างมนุษย์สัมพันธ์พร้อมให้ความสำคัญด้านจิตวิทยา
ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการควรหาความรู้ในด้านจิตวิทยาการจูงใจพนักงานให้ทำงานได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันยังต้องรู้จักการสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับลูกค้า พนักงาน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการยอมรับและได้รับความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้ราบรื่นได้ ซึ่งผู้ประกอบการมืออาชีพต้องมีวิธีการสื่อสารที่ดีกับทั้งพนักงานและลูกค้า เพื่อปูทางให้กิจการก้าวหน้าเติบโตได้ในอนาคตด้วย วิธีอัปสกิลง่ายๆ ในปัจจุบันมีองค์ความรู้มากมายทั้งในสื่อออนไลน์ หรือหนังสือที่สอนเรื่อง HOW TO เกี่ยวกับการจูงใจให้กับผู้นำ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเลือกวิธีที่ตนเองต้องการได้ตามความเหมาะสม
4. อัปสกิลภาษาเพื่อการเจรจาธุรกิจ
ในโลกปัจจุบันที่คนหันมาให้ความสำคัญกับภาษาต่างชาติเพื่อการติดต่อทางธุรกิจอย่างภาษาอังกฤษ ถือเป็นภาษาที่ผู้ประกอบการต้องมีความสามารถในการสื่อสารกับลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ ซึ่งจะทำให้มีความได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการที่ยังต้องใช้ล่ามหรือตัวแทนในการติดต่อกับต่างชาติ ดังนั้น หากมีความตั้งใจที่จะยกระดับธุรกิจสู่ความเป็นสากลก็จำเป็นต้องศึกษาและฝึกฝนในการพูดและเขียนภาษาอังกฤษให้มีความชำนาญ ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเปิดสอนให้กับผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนจำนวนมาก เพราะหากไม่สามารถเรียนรู้และใช้ภาษาต่างประเทศได้ ก็จำเป็นต้องจ้างพนักงานที่มีความสามารถด้านภาษาแต่ก็ต้องเพิ่มงบประมาณในการจ้างเพิ่มขึ้น
5. ปรับตัวให้สอดรับกับเทคโนโลยี
อย่างที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้โลกแห่งธุรกิจได้เปลี่ยนไป ซึ่งภาคธุรกิจในประเทศไทยเองก็ได้นำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลและประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการผลิตสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ยังไม่มีความรู้ด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ยิ่งต้องเร่งปรับตัวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้อย่างเร่งด่วนเพราะเทคโนโลยีถือเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะนำมาใช้ให้เกิดมีประสิทธิภาพในการทำงานก่อนที่จะถูก Disruption จากเทคโนโลยีและทำให้คู่แข่งแซงหน้าไป
ระบบบัญชีที่มาตรฐานนำไปสู่การประสบความสำเร็จ
สำหรับเรื่องการจัดทำบัญชี หลายครั้งจะเห็นได้ว่าธุรกิจ SME จะมีปัญหาสำคัญคือผู้ประกอบการบริหารเงินไม่เป็น โดยไม่แยกเงินที่ใช้ส่วนตัวกับเงินที่ใช้สำหรับดำเนินธุรกิจ เช่น ใช้เงินทุนหรือกำไรของการทำธุรกิจไปใช้จ่ายส่วนตัว ทำให้กระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจไม่เพียงพอที่จะใช้จ่าย ซึ่งต้องยอมรับว่าการทำธุรกิจทุกประเภทผู้ประกอบการต้องสามารถทำกำไรได้ หากในกรณีที่เป็นธุรกิจครอบครัวผู้ประกอบการต้องมีการแยกระหว่างบัญชีใช้จ่ายภายในครอบครัว กับบัญชีธุรกิจออกจากกันอย่างชัดเจน สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่