“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” ต่างจาก “โปรแกรม ฉีดโบท็อกซ์” อย่างไร?
เชื่อแน่ว่าหลายคนคงเกิดคำถามว่า หากอยากลดส่วนเกินบนใบหน้า ควรจะใช้โปรแกรมไหนกันแน่ ระหว่าง “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” และ “โปรแกรม ฉีดโบท็อกซ์” แล้วจริงๆ ต่างกันอย่างไร มาไขข้อข้องใจนี้ได้จากบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ
สำหรับคนที่ต้องการลดสัดส่วนในบริเวณที่มีปัญหาเรื่องไขมันสะสมอาจจะเลือกฉีด “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” ในจุดต่างๆ เช่น เหนียง ต้นแขน ต้นขา น่อง สะโพก เพื่อลดไขมันที่ไม่พึงประสงค์ในบางจุดที่ทำได้ยากด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหาร แต่สำหรับใครที่มีกล้ามเนื้อเยอะ อยากลด อันนี้แนะนำเป็น “โปรแกรม ฉีดโบท็อกซ์ ลดกล้ามเนื้อด้วย Botulinum toxin” แทน แต่หากใครที่ยังสับสนว่าทั้งสองตัวนี้จะมีหน้าที่การทำงานที่ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนจะเหมาะสม มาดูข้อมูลไปพร้อมๆ กันเลย
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” คืออะไร?
โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต เป็นโปรแกรมที่ช่วยลดไขมันและเซลลูไลท์เฉพาะจุด โดยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด การทำงานหลักๆ คือ จะเข้าไปทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนกลายเป็นของเหลว แล้วจากนั้นไขมันเหลวจะถูกขับออกตามกระบวนการในขับถ่ายของร่างกาย สารออกฤทธิ์หลักๆ คือ
- Artichoke extract (Cynara scolymus) ทำหน้าที่กระตุ้นการสังเคราะห์ ลดเนื้อเยื่อไขมัน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน เหมาะกับคนที่มีน้ำหนักตัวเกินเฉพาะจุด
- Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ลดการสร้างชั้นไขมันในเนื้อเยื่อ
- L-carnitine ทำให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” ต่างจาก “โปรแกรม ฉีดโบท็อกซ์” อย่างไร?
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” คือการฉีดลดไขมันบนใบหน้าใต้ชั้นผิว ส่วน “โปรแกรม ฉีดโบท็อกซ์ ลดกล้ามเนื้อด้วย Botulinum toxin” ช่วยเรื่องระงับการทำงานของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้บริเวณนั้นมีการยุบตัวเล็กลง ซึ่งจะอยู่ได้ประมาน 6-8 เดือน ซึ่งทั้ง 2 โปรแกรม ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง แพทย์ผู้ชำนาญการจะเป็นผู้ประเมินว่าควรต้องใช้ตัวยาไหน ที่เหมาะสมกับปัญหามากที่สุด แต่ในบางกรณีแพทย์อาจจะมีการแนะนำให้ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปก็เป็นได้
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
โปรแกรมฉีดเมโสแฟต ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมในบริเวณต่างๆ เช่น บริเวณใบหน้า แก้ม รวมไปถึงเหนียงใต้คาง ทำให้เห็นกรอบหน้าไม่ชัด หรือมีไขมันส่วนเกินในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” จุดไหนได้บ้าง?
โปรแกรมฉีดเมโสแฟต ตัวยาที่ใช้ลดไขมันส่วนเกินนี้สามารถทำได้ทุกส่วนของในร่างกาย โดยบริเวณที่ได้รับความนิยมได้แก่ บริเวณหน้าท้อง, บริเวณแก้ม, บริเวณใต้คาง เหนียง, บริเวณ ต้นแขน ต้นขา และบริเวณน่อง สะโพก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำ โปรแกรมฉีดเมโสแฟต สามารถทำควบคู่ไปกับการทำ โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ลดกล้ามเนื้อด้วย Botulinum toxin ได้ เพื่อทำงานเสริมกันทั้งเรื่องไขมันและกล้ามเนื้อ ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนขึ้น
ชื่อส่วนผสมที่มีอยู่ในตัวยา “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” ได้แก่ Artichoke extract ลดการสร้างกรดไขมัน, L-carnitine เร่งการเผาผลาญไขมัน เปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน และ Tyrosine เร่งระบบการเผาผลาญ Phosphatidylcholine Aesculus hippocastanum Juglans regia Theophylline
ข้อดีของ “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต”
- ช่วยปรับรูปหน้าที่มีไขมันส่วนเกินให้ได้สัดส่วน
- ไม่ต้องผ่าตัด
- ไม่ต้องฉีดยาชา
- ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน
- ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ทำได้ยาก
- ร่างกายสามารถขับไขมันให้ออกจากร่างกายได้ผ่านระบบขับถ่าย
ข้อเสียของ “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต”
- คนที่แพ้ง่ายอาจมีโอกาสแพ้สารที่ฉีดเข้าไปได้
- จะมีอาการบวมหลังฉีดประมาณ 1- 2 วัน
- หลังฉีดยังไม่เห็นผลทันที ต้องรอสักประมาณ 2-4 สัปดาห์
- หากได้รับการฉีดที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการอักเสบได้
ขั้นตอนการฉีด
- ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อประเมินปัญหาในบริเวณที่ต้องการฉีด
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดใบหน้าหรือบริเวณที่ต้องการฉีด
- จากนั้นแปะยาชาทิ้งไว้อย่างน้อย 30 - 45 นาที
- ทำการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ หรือยาฆ่าเชื้อ
- ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ก่อนฉีดตัวยา
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังการทำ “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต”
- ควรดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยดื่มวันละ 2 ลิตร
- สามารถทำหัตถการที่เกี่ยวกับการยกกระชับร่วมด้วยได้
- งดสูบบุหรี่ และแอลกอฮอล์ ประมาณ 7 วัน
- สามารถออกกำลังกายได้ เพื่อช่วยให้การเผาผลาญดีขึ้น อย่างน้อย 30 นาที
- หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารจำพวกแป้ง เค็ม มัน เพื่อลดการสร้างไขมันเพิ่ม
- ไม่ควรกด นวด บริเวณที่ทำการฉีดมา อาจทำให้การทำงานของตัวยาผิดปกติได้
- ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมถึงควบคุมการกิน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ
ยาที่มีอันตรายต่อร่างกาย ที่ควรหลีกเลี่ยง
- สเตียรอยด์ เป็นยาที่มีฤทธิ์การต้านการอักเสบในร่างกาย แต่ไม่ผ่าน อย. หลังฉีดสามารถเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว และตัวยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงคือ หากได้รับการฉีดในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือทำให้ร่างกายบวมได้
- ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase; Hyalase) หรือเรียกกันว่า ยาละลายฟิลเลอร์ ในปัจจุบันมีการนำ hyaluronidase มาใช้แบบผิดวิธี คือฉีดเพื่อทำลายไขมันใต้ชั้นผิวแทน เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่า ซึ่งหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจมีผลทำให้คอลลาเจนใต้ผิวหนังสลายไปได้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หนังหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยก่อนวัยได้
ใครบ้างที่ไม่ควร “โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต”
การใช้ยาลดไขมันไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้ เนื่องจากมีคนบางกลุ่มที่ไม่เหมาะสำหรับการใช้ตัวยาเช่นกัน นั่นคือ
- ผู้ที่กำลังตั้งท้องหรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง)
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด
- ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
- ผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” อยู่ได้กี่เดือน?
ระยะเวลาการเห็นผลที่ได้จะขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยปกติแล้วการออกฤทธิ์ของตัวยาจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน หลังการฉีดแนะนำให้มีการดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วยเพื่อการเห็นผลที่ดีมากขึ้น
ยี่ห้อไหนถึงจะดี?
ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยปกติแพทย์ผู้ชำนายการจะเป็นผู้ประเมินปัญหาและความต้องการของคนไข้ หลังจากนั้นจะเลือกยี่ห้อเพื่อให้เหมาะสมกับการแก้ปัญหาและเพื่อผลลัพธ์ตามต้องการ
สรุป
“โปรแกรม ฉีดเมโสแฟต” เป็นการลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เหมาะกันคนไข้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาไม่นาน แต่การทำหัตถการนี้จะต้องทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญการเท่านั้น
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก กังนัมคลินิก สามารถติดข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook หรือ Line @gangnamclinic