แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน4): ขมวด 3 ปมขายหุ้น “ศักดิ์สยาม” ที่ยังไม่เคลียร์
แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน4): ขมวด 3 เงื่อนปมขายหุ้น “ศักดิ์สยาม” ให้ “ศุภวัฒน์” ที่ยังไม่เคลียร์ ไฉนเจรจาล่วงหน้า จ่ายเงินก่อนทำสัญญา-ทำไมต้องขายราคาพาร์ ต่ำว่ามูลค่าสินทรัพย์-นำเงินจากไหนมาซื้อ
เงื่อนปมการขายหุ้นของ “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เมื่อต้นปี 2561 ให้ ศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เพื่อนสนิท มูลค่า 119 ล้านบาทเศษ ยังคงเป็นเรื่องทีค้างคาใจสาธารณชนหลายคน
เบื้องต้น กรุงเทพธุรกิจ รายงานข้อเท็จจริงของกรณีดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1.เมื่อปี 2539 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และ พ.ต.ต.เพิ่มพูน ชิดชอบ (ยศขณะนั้น) ทั้ง 2 รายคือผู้ร่วมก่อตั้ง และร่วมลงหุ้น หลังจากนั้นนายศักดิ์สยามได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนเมื่อปี 2540 กระทั่งปี 2558 ได้กลับมาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกครั้ง ต่อมาในปี 2560 มีนายเอกราช ชิดชอบ เข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วน หลังจากเมื่อปี 2561 นายศักดิ์สยาม ได้โอนหุ้นให้แก่นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ มูลค่าหุ้น 119 ล้านบาทเศษ
2.ในช่วงปี 2558 ที่นายศักดิ์สยาม กลับมาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ใน หจก.บุรีเจริญฯ ได้มีการเปลี่ยนที่ตั้งมาเป็น เลขที่ 30/2 ม.15 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งตรงกับที่อยู่ของนายศักดิ์สยาม ที่แจ้งในบัตรประจำตัวประชาชน และแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยระหว่างปี 2558-2562 หรือราว 4 ปี หจก.บุรีเจริญฯ ใช้ที่ตั้งดังกล่าว ซึ่งเป็นที่อยู่เดียวกับนายศักดิ์สยามมาโดยตลอด
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2562 มีการเปลี่ยนที่ตั้ง หจก. มาเป็นเลขที่ 30/17 ม.15 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ โดยเกิดขึ้นก่อนหน้าที่นายศักดิ์สยามจะได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2/1 เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2562 ราว 23 วัน
3.นายศักดิ์สยาม และนายศุภวัฒน์ ชี้แจงตรงกันว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวซื้อขายกันด้วยราคาจริง (ราคาพาร์) ไม่มีใครได้กำไร ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียภาษี เป็นไปตามประมวลรัษฎากร
4.กรณีนายศุภวัฒน์ เคยเป็นลูกจ้างในบริษัท บุรีรัมย์ศิลาชัย (๑๙๙๑) จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของคนตระกูล “ชิดชอบ” นั้น นายศักดิ์สยาม ยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนมีฐานะ แต่อยากได้สิทธิประกันสังคม ก่อนหน้านี้เคยเป็นพนักงานในอีกบริษัทหนึ่ง แต่บริษัทนั้นปิดตัวไปจึงนำชื่อเข้ามาบริษัท ศิลาชัยฯ เพราะบางทีคนมีเงินมักจะขี้เหนียว จึงเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับตนแต่อย่างใด
5.ส่วนประเด็นที่ตั้งของ หจก.บุรีเจริญฯ ที่ยังใช้บ้านของนายศักดิ์สยามอยู่นั้น นายศุภวัฒน์ ชี้แจงว่า เพราะคู่ค้ารู้จักที่ตั้งตรงนี้ดี มีความสะดวกในการติดต่อทำธุรกิจ และเนื่องจากงานส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน การให้บริษัทอยู่ที่เดิม ทำงานได้ง่ายกว่าย้ายไปที่อื่น
อ่านข่าว:
แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน3): เปิดบ้าน “ศุภวัฒน์” คนรับโอนหุ้น “ศักดิ์สยาม”
แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน 2): คู่ค้ารัฐ 3.7 พันล้าน เฉพาะ “คมนาคม” 1.9 พันล้าน
แกะรอย หจก.บุรีเจริญฯ (ตอน 1): เผยโฉมสัญญาโอนหุ้น 2 ปมซักฟอก “ศักดิ์สยาม”
อย่างไรก็ดีเงื่อนปมที่น่าสนใจในเรื่องนี้ บางเรื่องยังไม่มีคำตอบ บางเรื่องยังตอบไม่เคลียร์จาก “ศักดิ์สยาม” คือ
1.นายศักดิ์สยาม ระบุว่า มีการขายหุ้นให้กับนายศุภวัฒน์ โดยแบ่งเป็นการโอนเงิน 3 ครั้ง ตามเอกสารสลิปการโอนเงินผ่านธนาคารธนชาต 3 ฉบับ ได้แก่ ส.ค. 2560 จำนวน 35 ล้านบาท ก.ย. 2560 จำนวน 35 ล้านบาท และ ม.ค. 2561 จำนวน 49.5 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 119.5 ล้านบาท
โดยในสัญญาซื้อขายหุ้นที่แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีการระบุว่าทำสัญญาเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2561 ที่ หจก.บุรีเจริญฯ ซึ่งคือที่ตั้งเดียวกับบ้านนายศักดิ์สยาม ณ บ้านเลขที่ 30/2 ม.15 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เท่ากับว่าการชำระเงินลอตแรก เกิดขึ้นก่อนทำสัญญาราว 6 เดือน
ประเด็นนี้ นายศักดิ์สยาม เคยชี้แจงแล้วว่า การซื้อขายหุ้นไม่จำเป็นต้องชำระและโอนเงินทันที โดยตนและนายศุภวัฒน์เป็นเพื่อนกัน การซื้อขายหุ้นมีการพูดคุยตั้งแต่ปี 2560 เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มีผลบังคับใช้ ตนเป็นนักการเมืองจึงต้องเคลียร์คุณสมบัติเหล่านี้ให้หมด และได้ดำเนินการก่อน
2.ระหว่างปี 2558-2561 นายศักดิ์สยามได้กลับมาถือหุ้นใหญ่ใน หจก.บุรีเจริญฯ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียน 3 ครั้ง ได้แก่
- เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2558 (นายศักดิ์สยามกลับมาเป็นหุ้นส่วน) เปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนเป็น 25,501,000 บาท โดยมีนายศักดิ์สยามถือ 25.5 ล้านบาท และ น.ส.ปาริชาติ ขันเสน (หุ้นส่วนขณะนั้น) ถือ 1,000 บาท พร้อมกับเปลี่ยนที่ตั้งของ หจก.เป็นที่อยู่เดียวกับนายศักดิ์สยาม
- เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2558 มีการเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนเป็น 65,501,000 บาท โดยนายศักดิ์สยาม ถือ 65.5 ล้านบาท ส่วน น.ส.ปาริชาติ ถือ 1,000 บาท
- เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2558 มีการเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนเป็น 119,501,000 บาท โดยนายศักดิ์สยามถือ 119.5 ล้านบาท และ น.ส.ปาริชาติ ถือ 1,000 บาท (ต่อมานายเอกราช เข้ามาถือหุ้น 1,000 บาท เหลือนายศักดิ์สยาม ถือ 199,499,000 บาท)
3.สินทรัพย์ของ หจก.บุรีเจริญฯ ระหว่างปี 2560 ในช่วงที่นายศักดิ์สยาม ระบุว่า ได้มีการหารือพูดคุยกับนายศุภวัฒน์ เพื่อทำสัญญาซื้อขายหุ้นดังกล่าว พบว่า
ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 205,211,492 บาท มีหนี้สินรวม 38,785,312 บาท มีรายได้รวม 340,680,228 บาท รายจ่ายรวม 326,199,331 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 1,339,975 บาท เสียภาษีเงินได้ 2,880,184 บาท กำไรสุทธิ 10,260,736 บาท
โดยระหว่างปี 2560 หจก.บุรีเจริญฯ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ อย่างน้อย 36 โครงการ รวมวงเงิน 319.99 ล้านบาท หากนับเฉพาะคู่สัญญากับหน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคม อย่างน้อย 19 สัญญา รวมวงเงิน 266.87 ล้านบาท
หากพิจารณาจาก หจก.แห่งนี้ นายศักดิ์สยาม และคนตระกูลชิดชอบเป็นผู้ก่อตั้ง ต่อมานายศักดิ์สยามกลับเข้ามาถือหุ้นใหญ่อีก รวมถึงมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 3 ครั้ง โดยเป็นเงินของนายศักดิ์สยาม
จึงอาจเปรียบได้ว่า หจก.บุรีเจริญฯ เสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ของตระกูล “ชิดชอบ”
ไฉน “ศักดิ์สยาม” จึงนำหุ้นใหญ่ใน หจก.แห่งนี้ มาขายให้กับ “เพื่อนสนิท” ด้วยราคาปกติ (ราคาพาร์) ไม่คิดกำไรใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ในปี 2560 หจก.แห่งนี้มีสินทรัพย์ถึง 205 ล้านบาท มีรายได้ถึง 340 ล้านบาท กำไรกว่า 10 ล้านบาท แถมยังเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐวงเงินไม่ต่ำกว่า 319 ล้านบาท
แม้นายศุภวัฒน์ เคยอ้างว่า เรื่องราคาซื้อขายมีการเจรจากัน ตอนแรกนายศักดิ์สยามจะขายราคามากกว่านี้ แต่ตนต่อรองลงมาเหลือเท่านี้ เพราะรู้ว่านายศักดิ์สยามไม่อยากทำธุรกิจแล้ว เคยพูดกับตนหลายครั้งว่าจะเคลียร์เรื่องธุรกิจ เพื่อไปทำงานการเมืองเต็มตัว ไม่อยากให้มีปัญหาเรื่องหุ้น เหมือนนักการเมืองหลายคนที่มีปัญหา มีข่าวก่อนหน้านี้
ข้อมูลของนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายอ้างว่า มีข้อมูลจากกรมสรรพากร และประกันสังคม พบว่า นายศุภวัฒน์ มีรายได้ระหว่างปี 2558-2563 มีรายได้ตกปีละ 100,000 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 9,000 บาท โดยมาจากเงินเดือนจากบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (๑๙๙๑) จำกัด เพียงแหล่งเดียว
ส่วนธุรกิจของนายศุภวัฒน์ จำนวน 5 แห่ง ถูกนายทะเบียนขีดชื่อว่า “ร้าง” 3 แห่ง เหลือเพียง 2 แห่งคือ หจก.บุรีเจริญฯ ที่เพิ่งซื้อหุ้นจากนายศักดิ์สยามเมื่อต้นปี 2561
ส่วนอีกแห่งคือ บริษัท สวนกุหลาบ เซอรารี่ซีล จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2540 ทุนปัจจุบัน 15 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 30/17 หมู่ที่ 15 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ (ที่อยู่ปัจจุบันของ หจก.บุรีเจริญฯ) วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด บริการตลาดกลางอิเล็คทรอนิคส์ ปรากฏชื่อ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ นางสาวจันทราภรณ์ เพชรดี เป็นกรรมการ
บริษัทแห่งนี้ไม่มีรายได้ในช่วง 3 ปีหลังสุด โดยนำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2564 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 19,802 บาท ขาดทุนสุทธิ 19,802 บาท ปี 2563 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 19,802 บาท ขาดทุนสุทธิ 19,802 บาท ปี 2562 ไม่มีรายได้ มีรายจ่ายรวม 97,052 บาท ขาดทุนสุทธิ 97,052 บาท
ย้อนกลับไปมีรายได้ครั้งหลังสุดคือปี 2561 มีรายได้รวม 3,028,734 บาท รายจ่ายรวม 4,990,802 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,962,067 บาท
ย้อนกลับไปมีกำไรครั้งหลังสุดคือปี 2560 มีรายได้รวม 22,202,020 บาท รายจ่ายรวม 19,388,287 บาท เสียภาษีเงินได้ 562,746 บาท กำไรสุทธิ 2,250,986 บาท
แล้วนายศุภวัฒน์ นำเงินจากไหนมาเป็นค่าจ่ายหุ้นแก่นายศักดิ์สยาม แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ ก้อนแรก 35 ล้านบาท ก้อนสอง 35 ล้านบาท และก้อนสาม 49.5 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 119.5 ล้านบาท
ทั้งหมดคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ “ศักดิ์สยาม-ศุภวัฒน์” ยังไม่มีคำตอบ หรือตอบแล้วยังไม่เคลียร์ เป็นอีกเงื่อนปมที่ค้างคาใจสาธารณชนอยู่ในตอนนี้