“ประวิตร” เซ็น MOU พัฒนาที่ดิน จัดทำสาธารณูปโภค ยกระดับชีวิต ปชช.

“ประวิตร” เซ็น MOU พัฒนาที่ดิน จัดทำสาธารณูปโภค ยกระดับชีวิต ปชช.

“ประวิตร”​ เป็นประธาน​ลงนาม​ MOU​ 22​ หน่วยงาน​ ย้ำพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน​ ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ที่ดินทำกิน​ ​หวังให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

พลเอกประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี​ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายแนวทางมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินครั้งที่ 2/2565 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

ซึ่งการประชุมนี้​  มีการรับทราบความคืบหน้าการจัดทำนโยบายและแผนบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ พ.ศ 2566-2580 นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการพิจารณาเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การจำแนกประเภทที่ดินตามผลการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน, เห็นชอบการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าไม้ถาวรซึ่งจะให้กรมป่าไม้ดำเนินการกำหนดพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าไม้ถาวร และเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ​ พ.ศ.2566-2570

จากนั้น​ พลเอกประวิตร​ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ​ (MOU)​ ภายใต้โครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่​ คทช.​ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ​ หรือ​ สคทช. ร่วม​ 21 หน่วยงาน​ แสดงเจตจำนงในการผนึกกำลังบูรณาการพัฒนาพื้นที่โดยการสนับสนุนจัดทำโครงสร้างพื้นฐานระบบสาธารณูปโภคเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

 

โดยพลเอกประวิตร​ กล่าวว่า​ งาน​ คทช. วันนี้​ เป็นการจัดทำที่ดินทำกินในชุมชนในลักษณะแปลงรวม​ โดยมิได้ให้กรรมสิทธิ์​ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เป็นกลุ่มหรือชุมชน​ ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำปัญหาการขาดที่ดินทำกิน​ โดยให้ประชาชน​ ผู้ยากไร้ได้มีสิทธิทำกินและอยู่อาศัยที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย​ ป้องกันการเปลี่ยนมือ​ และการเข้ามาครอบครองของนายทุน​ พร้อมย้ำให้หน่วยงานรัฐพัฒนาระบบสาธารณูปขั้นพื้นฐาน​ ไฟฟ้า​ ประปา​ เส้นทางคมนาคม​ และแหล่งน้ำในการอุปโภคบริโภคต่างๆ​ เพื่อให้สามารถลงหลักปักฐานต่อไปในระยะยาว​ รวมทั้งให้มีการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่และต่อยอดไปสู่การจัดหาตลาด​ รวมถึงช่องทางการกระจายผลผลิตทางการเกษตร​ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีรายได้อย่างเพียงพอและมั่นคง​ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง