ผ่ายุทธศาสตร์ “ก้าวไกล” ชูธง “พรรคซ้าย-กลาง” รื้อโครงสร้างการเมืองไทย
แม้จะเปิดหน้าเป็น “ฝ่ายซ้าย-กลาง” แต่อุดมการณ์ “อนาคตใหม่” ยังคงมีอยู่เต็มขั้น เหมือนที่ “พิธา” บอกบนเวทีว่า เปลี่ยนรัฐบาลให้ไม่เป็นเผด็จการ มันไม่พอ ไม่ว่าจะเรื่องพื้นฐานสุด หรือเรื่องซับซ้อนสูงสุด ต้องเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนแค่รัฐบาลอย่างเดียวไม่พอ
“องคาพยพสีส้ม” กำลังคึกคัก 9 ก.ย. 2565 อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกลย่านหัวหมาก คลาคล่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่ “ระดับนำ” จนถึงบรรดาสมาชิกพรรค เพราะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรค เบื้องต้น 23 คน
นอกเหนือจากอดีต ส.ส.เขตเดิม เช่น ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.บางขุนเทียน เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.ธนบุรี คลองสาน บางกอกใหญ่ แล้ว
ยังมี “หน้าใหม่” ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น “พงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ” ลง “ถิ่นเก่า” เขตบางพลัด บางกอกน้อย บุตรชาย “ศิริพล ยอดเมืองเจริญ” อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยพงศ์พันธ์ เคยเป็นสมาชิก และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. “เพื่อไทย” 3 สมัย แต่ “สอบตก” ก่อนโยกย้ายมาลงสมัครกับ “ก้าวไกล” ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยเป็นโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ อดีตเลขานุการ รมช.อุตสาหกรรม (ฐานิสร์ เทียนทอง หลานชาย เสนาะ เทียนทอง แกนนำพรรคเพื่อไทย)
“ธิษะณา ชุณหะวัณ” ผู้สมัครเขตสาทร บางรัก ปทุมวัน บุตรสาว “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ลูกชาย “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี
“คริส โปตระนันทน์” ลงเขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ที่เป็นฐานเสียงหลักของ “กลุ่มเส้นด้าย” โดยเขาเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และอดีตแกนนำ “กลุ่มเส้นด้าย” อาสาสมัครที่สร้างชื่อจากการช่วยเหลือประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาดในไทย
นอกจากนี้ที่เซอร์ไพรส์มีชื่อของ “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ อดีตหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ แนวร่วมม็อบราษฎร ที่ก่อนหน้านี้ในปี 2562 เคยลงสมัคร ส.ส. ในพื้นที่ จ.กาฬสินธ์ุ แต่ปีนี้มาลงชิงเขตบางนา พระโขนง ด้วย
กรณี "โตโต้" อาจมีประเด็นส่อเค้า "ดราม่า" เมื่อ สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ ส.ส.เขตบางนา พระโขนง พรรคก้าวไกล คนปัจจุบัน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แจ้งว่า เพิ่งทราบเรื่องที่พรรคก้าวไกลไม่ส่งตนลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม.ต่อในสมัยหน้า ไม่ทราบเหตุผล ขอให้ไปสอบถามกับทางพรรค และเพิ่งรู้ว่าพรรคส่งนายปิยรัฐลงสมัครแทนตน
อย่างไรก็ดี รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความชี้แจงว่า กรรมการบริหารพรรคมีความรับผิดชอบที่จะต้องพิจารณาผู้สมัครที่มั่นใจว่าจะมั่นคงต่อความไว้วางใจที่พี่น้องประชาชนมอบให้ หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคคนใหม่ทุกคน ที่ต้องพิสูจน์กับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ ว่าพวกเขามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลด้วยเช่นกัน
ทั้ง 23 รายชื่อดังกล่าวเป็นแค่ “น้ำจิ้ม” เพราะยังเหลืออีกหลายคนที่ยัง “คัดสรร” ไม่สะเด็ดน้ำ ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีใครอีกบ้าง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ค่ายสีส้ม” ณ เวลานี้กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ สั่งสม “ขุนพล” ไว้เตรียมสู้เลือกตั้งหลายคน ยกตัวอย่าง “พงศ์พันธ์” อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตบางกอกน้อย บางพลัด ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2562 แม้จะพ่ายแพ้ “จักรพันธ์ พรนิมิตร” แกนนำกลุ่ม กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เข้าวินด้วย 31,394 เสียง แต่เจ้าตัวยังได้คะแนนมาเป็นลำดับ 2 คือ 25,745 เสียง ส่วน “ณัฐชนน จิตต์สง่า” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ได้ 23,724 เสียง
ส่วน “คริส โปตระนันทน์” ภายหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งปี 2562 ที่เขตราชเทวี เขตพญาไท และเขตจตุจักร (เฉพาะแขวงจตุจักร และแขวงจอมพล) โดยได้คะแนนมาลำดับ 2 ที่ 23,980 เสียง (ภาดาห์ วรกานนท์ ของ พปชร.ซิวชัยที่ 28,690 เสียง) ว่ากันว่า “คริส” โดนหมางเมินจาก “ระบบชนชั้น” ใน “ค่ายสีส้ม” ทำให้ต้องเบนเข็มไปทำ “กลุ่มเส้นด้าย” ต่อมาเมื่อ “กลุ่มเส้นด้าย” ประสบความสำเร็จ ได้รับเครดิตอย่างมาก ได้ข่าวว่า “คริส” ถูกชักชวนให้กลับไปร่วม “ค่ายสีส้ม” อีกครั้ง แต่เจ้าตัวยังคงปฏิเสธ กระทั่งกลับมาเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เป็นหนที่ 2
“แก้วตา ธิษะณา” แม้จะเป็น “หน้าใหม่” แต่ด้วยชื่อชั้นทายาท “ชุณหะวัณ” แห่งกลุ่ม “ซอยราชครู” ตำนานการเมืองไทย ย่อมมีโพรไฟล์-แบ็คอัพดีพอตัว ขณะที่ “โตโต้ ปิยรัฐ จงเทพ” แม้ปัจจุบันจะโดนคดีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อยู่ก็ตาม แต่การนำเขามาลงสมัคร ส.ส.ย่อมได้ใจ “กลุ่มม็อบ” เหมือนที่ปี 2562 เคยทำสำเร็จมาแล้วกับการชู “รังสิมันต์ โรม”
การปรับทัพจัดยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าของ “พรรคก้าวไกล” ก็ไม่ธรรมดา เพราะได้บทเรียน “งูเห่า” จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ในชื่อ “พรรคอนาคตใหม่” มาแล้วว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเฟ้นหา “ผู้สมัคร ส.ส.” โดยคราวนี้หมายมั่นปั้นมือคัดเลือกกลุ่มผู้สมัครที่มี “ดีเอ็นเออนาคตใหม่” ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนการคาดคะเนจำนวน ส.ส.ครั้งถัดไป แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคหลายคนประเมินเชื่อว่า ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าปี 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ไปกว่า 6.3 ล้านเสียง แม้ว่าคะแนนเสียงจากพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่เคยเทมาให้จะหายไป แต่ช่วง 3 ปีกว่าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นแล้วว่า ส.ส.ของพรรคทำงานได้จริง ทำให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาถัวเฉลี่ยทดแทนกันได้
เรื่องที่หลายคนกังวลว่าจะชูใครเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค ชัดเจนแล้ว พลันที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศบนเวทีว่า “พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน”
“แน่นอนว่าตอนนี้ เราจะเข้าสู่ศึกเลือกตั้งโดยไม่มีพวกเขา ไม่มีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่มีปิยบุตร แสงกนกกุล แต่เราพิสูจน์แล้วว่า ก้าวไกลสามารถสร้างอนาคตใหม่ได้ เหมือนที่สื่อบอก คบเพลิงอยู่ในมือของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดังนั้นเรามาไกลเกินกว่าจะแพ้ ผมไม่ได้มาเล่น ๆ เพื่อที่จะแพ้ด้วย ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน ไม่ว่าจะรวยดีมีจน อายุมากน้อย ไม่ว่าจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม ผมพร้อมเป็นนายกฯที่ทันสมัย ทำให้คนไทยเท่าเทียมกัน ให้กับประเทศก้าวหน้าไปในอนาคต แล้วเจอกันที่ทำเนียบรัฐบาล” นายพิธา กล่าว
นโยบายหาเสียงสำคัญของพรรค สกัดสาระสำคัญได้อยู่ 5 ข้อด้วยกัน ได้แก่
- แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน
- โละองค์กรอิสระ ที่มีที่มาจากการรัฐประหาร และให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
- ปรับปรุง-แก้ไขกฎหมายที่มีเนื้อหาละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
- ชูระบบเศรษฐกิจแบบ “รัฐสวัสดิการ” เพื่อประโยชน์ระยะยาวของประชาชน
- กองทัพต้องอยู่ภายใต้พลเรือน และเคารพหลักการรัฐธรรมนูญ
สำหรับ “อุดมการณ์” หรือ “ธง” ของ “ค่ายสีส้ม” นับเป็นครั้งแรกที่มีการพูดในที่สาธารณะ โดย “พิธา” ระบุบนเวทีตอนหนึ่ง เล่าย้อนไปเมื่อครั้งไปพบผู้ว่าการรัฐปีนัง อินโดนีเซียว่า พวกเราคือพรรคแบบ “ซ้าย-กลาง”
เพราะก่อนหน้านี้ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ จนมาถึงพรรคก้าวไกล ถูกประชาชนบางกลุ่ม นักวิชาการบางฝ่าย และกองทัพวิพากษ์วิจารณ์เหน็บแนมว่าเป็น “พวกซ้ายจัดดัดจริต”
พรรคการเมืองแบบ “ซ้าย-กลาง” หรือ “Centre-left politics” ในทางการเมือง คือพรรคที่มุ่งเชิดชูความยุติธรรม และสร้างความเท่าเทียมในสังคม โดยเน้นลดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย สนับสนุนมาตรการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ เช่น การเก็บอัตราภาษีก้าวหน้า แก้ไขกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ กฎหมายเกี่ยวกับลูกจ้าง หรือสวัสดิภาพแรงงาน เป็นต้น
แม้จะเปิดหน้าเป็น “ฝ่ายซ้าย-กลาง” แต่อุดมการณ์ “อนาคตใหม่” ยังคงมีอยู่เต็มขั้น เหมือนที่ “พิธา” บอกบนเวทีว่า เปลี่ยนรัฐบาลให้ไม่เป็นเผด็จการ มันไม่พอ ไม่ว่าจะเรื่องพื้นฐานสุด หรือเรื่องซับซ้อนสูงสุด ต้องเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนแค่รัฐบาลอย่างเดียวไม่พอ เปลี่ยนนายกฯไม่พอ เปลี่ยนสมบัติผลัดกันชม เก้าอี้ดนตรีไม่พอ ต้องเปลี่ยนทั้งระบบ เปลี่ยนทั้งองคาพยพ ไม่อาจใช้นโยบายปะผุ แก้วันต่อวันได้ ต้องรื้อโครงสร้าง
เช่นเดียวกับ “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวตอนหนึ่งว่า เราต้องปลดล็อกท้องถิ่นให้ได้ ยุติระบบราชการรวมศูนย์ เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของประเทศ และคืนอำนาจสูงสุดในการกำหนดอนาคตของตนเองให้กับประชาชนทั้งประเทศ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเป็นการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนให้ก้าวหน้า ทันโลกยุคใหม่ แบ่งปันดอกผลของความเจริญอย่างยุติธรรม การเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อเปลี่ยนการศึกษาทำให้เรามีความฝัน มีจินตนาการ เติบโตไปกับโลกสมัยใหม่ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการเปลี่ยนระบบสวัสดิการให้ถ้วนหน้า
“พอกันทีกับระบบพิสูจน์ความจน เพื่อต่อคิวรอความเมตตาจากใคร การเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเปลี่ยนประเทศ ไม่ให้มีใครต้องติดคุก หรือต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ เพียงเพราะพวกเขาฝันถึงอนาคตของพวกเราร่วมกัน” ชัยธวัช ระบุ
บทบาทของ “ก้าวไกล” ในการเลือกตั้งครั้งถัดไปจึงน่าจับตา เมื่อเปิดตัวเป็น “พรรคซ้าย-กลาง” ชูนโยบาย “รัฐสวัสดิการ” จะเรียกคะแนนเสียงจากมวลชนได้มากน้อยแค่ไหน ต้องรอลุ้นกัน