ปรับครม.สะท้อน "3 ป."แพแตก ? เดิมพันศึกการเมืองครั้งสุดท้าย
ต้องจับตาดูว่าระหว่างปรับ ครม.กับไม่ปรับ ครม. “3 ป.” ใครจะได้อะไร ใครจะเสียอะไร “น้อง 2 ป.” จะยอม “พี่ใหญ่” หรือจะหักกันเอง เพื่อสร้างดาวคนละดวง
พ้นบ่วงวาระ 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ต้องบริหารจัดการอำนาจทางการเมืองอย่างสุขุมลุ่มลึก ประเมินทุกช่องทาง เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ แต่จะไปต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ ระหว่างรอจังหวะประกาศจุดยืน ก็ต้องรีเช็คขุมกำลังกันอีกรอบ
การลาป่วยของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในวันประชุม ครม.นัดแรก 5 ต.ค.2565 หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาทำงานตามปกติ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
สายสืบวงในรายงานว่า น่ามีที่มาที่ไปจากเกมอำนาจกับ “น้อง 2 ป.” ที่ยังต่อรองกันไม่ลงตัว โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในโควตาของพรรค พปชร.อย่างน้อย 2 ตำแหน่ง
แม้จะมีแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคปชป. ที่ดักทางเอาไว้ โดยให้ข่าวว่า ขอคุยกับนายกฯ เกี่ยวกับการปรับครม. แต่นายกฯ ขอให้เลื่อนไปคุยวันหลัง เพราะรู้ว่าหากรับปาก “จุรินทร์” ย่อมจะมีแรงกระเพื่อมจาก “ประวิตร-พปชร.” ทันที
เนื่องจาก “ขุนพล พปชร.” ต้องการให้มีการ ปรับครม. แม้กระทั่งในช่วงที่ “พล.อ.ประวิตร” นั่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ก็มีความพยายามวางเกมให้ “นาย” ใจกล้าๆ ใจถึงๆ ปรับ ครม.โดยไม่สนใจเสียงทักท้วงจาก “เซียนกฎหมาย” ว่าอาจจะทำไม่ได้
“ขุนพล พปชร.” ต้องการใช้ประโยชน์จากเก้าอี้ ครม. เพื่อนำไปต่อยอดยุทธศาสตร์การเลือกตั้งในรอบหน้า เพราะหากมีตำแหน่งรัฐมนตรีติดสอยห้อยท้ายไปกับการลงพื้นที่ ย่อมทำให้มีการในการขับเคลื่อนเกม-ขับเคลื่อนคน ในระดับพื้นที่ได้มากกว่า
แม้ พล.อ.ประวิตร จะออกตัวตั้งแต่ต้นว่า การปรับครม.เป็นอำนาจของนายกฯประยุทธ์ ทำให้ขุนพล พปชร.ไม่สมหวัง และรู้ดีว่าหาก “น้อง 2 ป.” กลับมาคอนโทรลเกมการเมืองได้ โอกาสปรับ ครม.ด้วยการคืนโควตาให้พรรคพปชร.ในสายของ “พี่ใหญ่” แทบจะปิดประตูตาย
ที่สำคัญ ภายหลังการคัมแบคปฏิกิริยาของนายกฯ ประยุทธ์ ไม่ยี่หระต่อสถานการณ์ภายในพรรค พปชร.เลยด้วยซ้ำ และมีเพียงรัฐมนตรี “ทีมประยุทธ์” อาทิ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดีอีเอส “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วน “ขุนพลพปชร.” สายประวิตร สายสามมิตร ต่างเก็บตัวไม่แสดงอาการออกมา
แม้ “ประวิตร” จะยืนยันกับขุนพล พปชร.ว่าต้องการขับเคลื่อนแบรนด์ พปชร.ต่อ แต่ที่เห็นและเป็นไปในพรรค พปชร.เวลานี้ ยากที่เข็นต่อเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังมี “ส.ส.” โดนพรรคร่วมรัฐบาลดูดออกไปนับสิบราย
แหล่งข่าวระบุว่า “พล.อ.ประวิตรต้องการให้ปรับ ครม.ในโควตาเดิมของพรรค พปชร. เพื่อทำพื้นที่ทางการเมือง และสามารถใช้เก็บแต้มในทางการในระดับพื้นที่ได้ แต่ต้องรอดู พล.อ.ประยุทธ์ จะยอมทำตามข้อเสนอของ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ เพราะหากพล.อ.ประยุทธ์ จะไปต่อ คงไม่เชื่อใจ พล.อ.ประวิตร ให้มาสนับสนุนตัวเองเป็นนายกฯ อีกครั้ง”
“หากพล.อ.ประยุทธ์ จะปรับครม.อาจจะไม่คืนโควตาให้พรรคพปชร. แต่จะยึดมาบริหารจัดการเอง โดยอาจจะให้โควตากับพรรคสำรองของตัวเอง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทำพื้นที่แทน” แหล่งข่าวระบุ
ดังนั้นเมื่อประเมินจากท่าทีของ น้องเล็กประยุทธ์ และการเลี่ยงเผชิญหน้ากลางวง ครม.ของ พี่ใหญ่ประวิตร ด้วยการอ้างลาป่วย เป็นสัญญาณสะท้อนอย่างดีว่า “3 ป.” รอวันแพแตก
ไม่ใช่ว่า “น้อง 2 ป.” จะไม่เคารพรัก “พี่ใหญ่” แต่ถึงเวลาที่ “น้อง 2 ป.” ต้องสลัด “พี่ใหญ่” ทิ้งไว้กลางทาง เนื่องจากเครือข่าย “ทีมประวิตร” อาจเป็นภัยต่อฐานอำนาจตัวเอง
โฟกัสหลักไปที่ “ป. 4” ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาอย่างยาวนาน คอยชักใยใช้ฐาน ส.ส.-ส.ว. ที่อยู่ในขั้วอำนาจของตัวเล่นงาน “พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.อนุพงษ์” จนเสียเหลี่ยมการเมืองมาหลายครั้ง
ฟางเส้นสุดท้ายคือ “ซูเปอร์ดีล” ที่ว่ากันว่า มีส่วนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปม 8 ปี
ฉะนั้น จึงต้องจับตาดูว่าระหว่างปรับ ครม.กับไม่ปรับ ครม. “3 ป.” ใครจะได้อะไร ใครจะเสียอะไร “น้อง 2 ป.” จะยอม “พี่ใหญ่” หรือจะหักกันเอง เพื่อสร้างดาวคนละดวง