“รวมไทยสร้างชาติ” ในกระแส"บิ๊กเนม" นับถอยหลังรอ "ประยุทธ์ + 100"
กระแสมาเรื่อย มาแรง สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พร้อมเปิดประตูต้อนรับ “บิ๊กเนม” ที่คาดกันว่า น่าจะเป็น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในการเข้าสู่พรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ ความชัดเจนเรื่องนี้ อาจต้องรอจังหวะที่ทุกอย่างเคลียร์ทางลงตัว
“เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์พิเศษเนชั่นทีวี โดยระบุถึงเรื่องนี้ว่า พรรคเปิดกว้างสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หากต้องการมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐอยู่หรือไม่
“หากเปรียบเป็นผู้หญิง คือยังโสดอยู่หรือเปล่า ถ้าโสด พรรครวมไทยสร้างชาติก็สนใจ คนนี้เราแอบรักแอบชอบอยู่เหมือนกัน ฉะนั้น หากบอกว่าโสด กระบวนการหลังจากนั้น ก็เป็นแค่พิธีกรรม แต่ถ้ายืนยันเป็นแคนดิเดตพลังประชารัฐ ก็ว่ากันไป ซึ่งรวมไทยสร้างชาติเปิดกว้างสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ต้องรักษามารยาท” เอกนัฏ กล่าว
สำหรับเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เหลืออีกแค่ 2 ปีนั้น ที่ถูกตั้งข้อสังเกต อาจจะเป็นจุดอ่อนทางการเมือง เลขาฯ รทสช. ระบุว่า ส่วนตัวไม่ถือเป็นอุปสรรค เพราะตามกลไกรัฐธรรมนูญ พรรคสามารถเสนอแคนดิเดตได้มากกว่า 1 คนอยู่แล้ว โดยมี หัวหน้าพรรค พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็น 1 ใน 3 รายชื่อ
ส่วนเรื่องการยุบสภาฯ มองว่าเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะหลังเอเปค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมทุกเวลาสำหรับการเลือกตั้ง แต่นายกฯ อาจจะอยู่ครบวาระก็ได้
อย่างไรก็ตาม ที่มองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขายไม่ได้ โดยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส่วนตัวนั้นมีความเห็นต่าง เพราะนายกฯ ทำงานมา 8 ปี รักษาได้ขนาดนี้ และถ้ายิ่งไปดูในทุกภาค นายกฯ ยังเป็นแชมป์ และยังขายได้อยู่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจ ทั้งคนเก่าและใหม่ จะยังให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ อยู่
เอกนัฏ กล่าวต่อว่า สมมุติถ้านายกฯ มาจริง ก็ต้องมาบริหารจัดการเพื่อรองรับ ภายใต้การทำงานเด็ดขาด และเป็นเอกภาพในพรรค ไม่ใช่ซ้ายหัน ขวาหัน แต่เป็นการทำงานยึดโยงกับแคนดิเดต ซึ่งการเสนอชื่อแคนดิเดต ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่าที่สุดจะเป็นอย่างไร เลขาฯ รทสช.ก็ยืนยันถึงแนวทางพรรคว่า
1.นายกฯ ประยุทธ์ มา หรือไม่มา พรรคก็ไปต่อ เวลานี้เรารวบรวมตัวผู้สมัครตัวเต็งหลายพื้นที่ พอสมควร
2.ถ้ามา เคมีนายกฯ กับพรรคเกื้อหนุนกัน แต่ส่วนไหนที่ขาด ก็เพิ่มกองกำลัง หากมาพร้อมกัน นายกฯ ก็ทำให้พรรคใหญ่ขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่า รวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคขนาดกลางได้ 40-50 คน แต่ถ้านายกฯ มา อาจไปถึง 100 คนก็ได้
3.โครงสร้างพรรค ณ วันนี้ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ และตน ไม่ได้ทำเพื่อตำแหน่ง หรือทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง และตนมีเป้าหมายทำงานให้สำเร็จ หากถึงเวลานั้นเหมาะสมปรับเปลี่ยน ก็ไม่มีปัญหา
สำหรับตัวเลขที่ตั้งเป้านั้น อาจจะ 40-50 คน ทว่า ทุกอย่างอยู่ที่ประชาชนเลือก แต่อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน พ.ย.อยากให้จับตา เพราะพรรคมีคิวเปิดตัวผู้สมัคร ส่วนในเดือน ธ.ค.จะเปิดนโยบายพรรค ขณะเดียวกัน ได้วางตัวแทนพรรคประจำจังหวัดใกล้ โดยภาคใต้ครบแล้ว ส่วนภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง ใกล้ครบหมดแล้ว
ส่วนเรื่องการรวมพรรคนั้น เอกนัฏ ยอมรับว่า ไม่ง่าย แต่การรวมคนง่ายกว่า เพราะขณะนี้การเมืองเปลี่ยน อีกทั้ง ตัวผู้นำกำลังตัดสินใจเปลี่ยน การโยกย้ายถ่ายเทจะมาก ดังนั้น การยุบพรรครวมไม่ง่าย แต่สำคัญว่าคนจะรวมหรือไม่ และการทำการเมืองต้องกลับวิธีคิดใหม่ อย่าไปคิดว่า พรรคเป็นเจ้าของ ส.ส. หรือ ส.ส.เป็นเจ้าของประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ อยากรวมทุกคน ทุกภาคส่วนมาร่วมกันสร้างชาติ อดีตที่เป็นอุปสรรค ความจำดีลืมไม่ได้ แต่ไม่เอามาเป็นอุปสรรค ควรเอาผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ไม่มีสี ส่วนคนมาร่วมก็คุยกันไว้ ยังไม่เปิดตัว เร็วไป แต่ถ้ายุบสภาพรุ่งนี้ คนที่คุยไว้ ก็จะเปิดตัวทันที” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุ
เอกนัฏ ยืนยันว่า พรรคตั้งใจจะส่งให้ครบทั้ง 400 เขต ซึ่งได้จัดตัวผู้สมัครไว้ 100% แล้ว อย่างพื้นที่ภาคใต้รวมถึง 3 จังหวัดชายแดน โดย จ.ยะลา เลือกคนรุ่นใหม่ อย่าง สจ.อาหมัด บอสสตาร์ ซึ่งเป็นดาวรุ่งและเป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่ รวมทั้ง ปัตตานี พัทลุง สุราษฎร์ธานี ชุมพร ส่วน ภูเก็ต ก็ได้ครบ 3 คน หากเปิดตัวมา มีร้องว้าวแน่นอน
ส่วนพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช อย่าง นายวิทยา แก้วภราดัย อีกทั้งจะมี ส.ส.ต่างพรรคย้ายเข้าและคนใหม่ด้วย ส่วนจ.ระนอง นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ขณะที่ กทม. และภาคกลาง อย่าง นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ก็จะส่งครบหมด ส่วนในพื้นที่ภาคอีสาน พรรคมีหลายคนเตรียมไว้ แต่ยอมรับคะแนนนิยมเพื่อไทยอาจดีกว่า แต่ไม่ใช่จะชนะทุกเขต บางเขตก็มีปัญหา
ดังนั้น ไม่ใช่พรรคเอาชนะไม่ได้ แต่ขึ้นกับการเลือกตัวผู้สมัคร ขณะเดียวกัน กลุ่ม นปช. ที่เปลี่ยนทัศนคติ ก็มาร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พรรคต้องการทำ คือ โละและรื้อกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่พัฒนา ที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชน และถ้ายังไม่มีกฎหมายบางอย่าง ก็จะจัดทำ เช่น การดูแลพืชผลการเกษตร ซึ่งเดิมอำนาจรัฐไม่ชัดเจนใครรับผิดชอบ อีกทั้งกลไกการตลาดถูกบิดเบือน ทั้งปุ๋ยแพง เชื้อเพลิงแพง เป็นอำนาจใคร ดังนั้นต้องสังคายนา เรื่องหนี้สิน ที่ดินทำกิน ปากท้อง คุณภาพชีวิต
ทั้งนี้ หลายประเทศทำสำเร็จ โดยไม่ต้องใช้เงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องยากและท้าทาย หากถามว่าที่ผ่านมาคิดได้ที่จะแก้ไข แต่ที่ยังทำไม่ได้ เพราะนายพีระพันธุ์ ไม่มีอำนาจเต็ม นายกฯ ก็ไม่มีส.ส. ไม่ยึดโยงกับพรรค การแก้ด้วยสติ หรือกฎหมาย จำต้องใช้ ส.ส. พรรค และต้องยึดโยงผู้นำ แต่ที่ผ่านมา ส.ส. ยังไม่ยอมตื่นในการแก้กฎหมาย ฝ่ายบริหารสนับสนุน แต่วันนี้มันยังขัดกันอยู่ จึงมีพรรคนี้เกิดขึ้น
สำหรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เอกนัฏ ตั้งประเด็นว่า แก้แล้วได้อะไร แก้ปัญหาให้ประชาชนหรือไม่ แก้ให้อำนาจมากขึ้น ส่วนตัวขอต่อต้าน เพราะไม่เห็นด้วยที่จะไปอยู่กับคนไม่กี่คน หากเป็นการแก้กฎหมายให้ประชาชนได้ประโยชน์นั้นยินดี
“รัฐธรรมนูญข้อไหน แก้แล้วทำให้ประเทศดีขึ้น เกษตรกร ที่ดินทำกิน ทุกอย่างมาจากกฎหมาย ควรไปแก้ตรงนั้นก่อน แม้ประชาชนส่วนใหญ่โหวตรับ แต่การเขียนรัฐธรรมนูญอาจไม่สมบูรณ์ แต่กฎหมายแก้ง่ายกลับไม่มีใครทำ ประชาชนต้องรักษาประโยชน์ตัวเอง กฎหมายล้าหลัง ต้อง รื้อ โละ ทำใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล การค้าขายเอกชน เราต้องปีกให้นักธุรกิจ ไปต่อสู้กับต่างประเทศ” เอกนัฏ กล่าว
สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติถือว่าให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ เช่น ตนได้มาเป็นเลขาฯ ดังนั้นจะพิสูจน์ฝีมือว่าทำได้ และคนรุ่นใหม่หรือไม่ใหม่ ไม่อยากให้ดูที่อายุ แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติ ถ้าปรับก็เป็นรุ่นใหม่ได้ แล้วเอามาบาลานซ์กับคนรุ่นเดิม สุดท้ายต้องผสมผสานให้ลงตัว เปิดพื้นที่ให้กับทุกคน ไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งรุ่น เอาคนประสงค์ดีมาทำงาน