“ไอติม ก้าวไกล” โต้ ส.ว.ไม่ควรเลือกนายกฯตามความเชื่อ แต่ต้องเคารพเสียง ปชช.
“ไอติม พริษฐ์” ออกโรงโต้ “พรเพชร” ลั่น ส.ว.ไม่ควรเลือก “นายกฯ” ตามความเชื่อส่วนตัว แนะต้องพิสูจน์ตัวเอง โหวตตามเสียงประชาชนหลังการเลือกตั้ง ชี้ไม่ควรมีใครแทรกแซงผลการเลือกตั้ง เอาเสียง ส.ว.ไปต่อรองจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2566 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ "ไอติม" ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวถึงท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่แสดงออกผ่านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ที่ให้สัมภาษณ์ระบุว่าไม่มีความจำเป็นต้องรีบ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” และการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นไปตาม “ดุลยพินิจของสมาชิก” ว่า การให้สัมภาษณ์ของประธานวุฒิสภาดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นถึงการละเว้นไม่พูดถึงสาระสำคัญของปัญหา เพราะแม้ ส.ว. จะเหลือวาระอีกไม่นาน แต่ระยะเวลาที่เหลือนั้นคาบเกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี 2566 ทำให้ ส.ว. ยังคงสามารถแทรกแซงกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลไปอีก 4 ปีตามวาระรัฐบาลใหม่ ซึ่ง ส.ว. ไม่ควรเลือกนายกรัฐมนตรีตามความเชื่อของตนเอง แต่ควรเลือกจากบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง หากต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่เคารพเสียงของประชาชนที่แสดงออกผ่านบัตรเลือกตั้งจริงๆ
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า หาก ส.ว. อยากเห็นประเทศเดินหน้าตามวิถีประชาธิปไตย ที่เคารพ 1 สิทธิ 1 เสียงของประชาชนในการเลือกตั้ง ส.ว. ควรจะต้องทำ 2 เรื่องในอนาคตอันใกล้นี้ ประกอบด้วย 1) ลงมติเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 เพื่อยกเลิกมาตรา 272 และปิดสวิตช์ตนเองก่อนการเลือกตั้ง และ 2) ออกมายืนยันกับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง หากพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ทัน ว่า ส.ว. พร้อมจะลงมติสนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นใครหรือมาจากพรรคไหน และจะไม่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ไม่อนุญาตให้บุคคลหรือพรรคใดเอาเสียงของ ส.ว. ไปต่อรองในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หาก ส.ว. ไม่ประสงค์จะใช้อำนาจในทางที่ไปขัดผลการเลือกตั้งอย่างที่เคยได้อ้างไว้จริง ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนับสนุนการตัดอำนาจตนเองในการเลือกนายกรัฐมนตรี และควรต้องออกมาให้คำมั่นต่อประชาชนในทางสาธารณะโดยพร้อมเพรียงกันด้วย
“ถ้าท่านดำเนินการตาม 2 ข้อนี้ได้ ท่านจะพิสูจน์ให้ประชาชนเห็น ว่าแม้ที่มาของท่านเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน แต่ ณ วันนี้ ท่านได้พยายามแล้ว ในการทำให้ประเทศเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนมี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่าเทียมกันในการกำหนดอนาคตประเทศ เริ่มต้นจากการเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังจะมาถึง” นายพริษฐ์ กล่าว