“พิธา” เปิดแผนบันได 3 ขั้นแก้วิกฤติการเมือง นิรโทษกรรม-คืนสิทธิประกันตัว
“พิธา” เสนอญัตติด่วน ยกแผนบันได 3 ขั้นแก้วิกฤติการเมือง คืนสิทธิประกันตัว-นิรโทษกรรมคนเห็นต่าง-แก้กฎหมายลิดรอนเสรีภาพประชาชน ยก “ตะวัน-แบม” เป็นเรื่องของทุกคน
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2566 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาในการประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาในฐานความผิดจากการแสดงออกทางการเมือง เพื่อส่งให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐและความยุติธรรม
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน เป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามหลักการระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ แม้หากการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกนั้นอาจมีข้อจำกัดในทางกฎหมาย อันนำมาสู่การดำเนินคดีกับผู้แสดงความคิดเห็นหรือผู้แสดงออก แต่ประชาชนทุกคนที่ถูกดำเนินคดี ไม่ว่าจะผู้ถูกกล่าวหา ผู้ต้องหาหรือจำเลย ก็ย่อมมีสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับการประกันตัวตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย อีกทั้งหน่วยงานรัฐและกระบวนการยุติธรรมก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้นั้นบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตามในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเยาวชนกลับเข้าไม่ถึงสิทธิในการประกันตัว อันอาจเป็นปัญหามาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย หรือดุลยพินิจรายกรณีจนถูกตั้งคำถามจากนักวิชาการ นักกฎหมาย ทนายความ ภาคประชาสังคม และประชาชนเป็นจำนวนมาก อันนำมาซึ่งการแสดงออกด้วยอารยะขัดขืนของคุณทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และคุณอรวรรณ ภู่พงษ์ ที่ได้แสดงออกด้วยการอดอาหารในระหว่างที่ถูกคุมขัง เมื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีที่เกิดจากการแสดงออกทางการเมือง และรวมถึงการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นแทรกแซงการใช้อำนาจของตุลาการในการพิจารณาอรรถคดีใดคดีหนึ่ง และข้อเท็จจริงจนถึงปัจจุบันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้พูดถึงปัญหาดังกล่าว และเห็นสมควรที่รัฐบาล สภา และ ศาล ได้ร่วมกันพิจารณาและหาทางออก
นายพิธา กล่าวว่า ตนมี 3 ประเด็นที่ขอเสนอ ประเด็นที่ 1 ขอโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นว่าเรื่องที่คุณตะวันและคุณแบมทำอยู่นั้น เป็นเรื่องของเราทุกคน ห่างจากที่นี่ 37 กิโลเมตร ประชาชน 2 คน ตัดสินใจใช้ร่างกายของตัวเองในการต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุด ที่รัฐควรให้กับประชาชน นั่นคือการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม ที่อิสระ ที่เที่ยงตรง และที่ผู้คนเชื่อถือเป็นที่พักพึง
“ผมเป็นนายประกันของคุณตะวันด้วยความภาคภูมิใจ มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเขา ได้พูดคุยและสอบถามอาการ รู้สึกได้ว่าอาการของทั้ง 2 นั้นนับถอยหลังกันเป็นชั่วโมง แน่นอนว่าผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นห่วงผลกระทบต่อร่างกาย แต่สำหรับนักสู้ทางการเมืองสองคนนั้น สุขภาพหรือความอิดโรยของเขาไม่ใช่เรื่องหลักที่เขาเป็นห่วงแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือ ระบบยุติธรรมของประเทศนี้ สิทธิในการประกันตัวของทุกมาตราในระบบกฎหมายอาญาที่มีอยู่ และเป็นห่วงเพื่อนของเขาทั้ง 15 คนที่ควรได้รับสิทธิประกันตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของเกษตรกรที่โดนยึดที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม เป็นเรื่องของพี่น้องแรงงานที่อาจถูกว่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม แต่เมื่อไปพึ่งระบบยุติธรรมกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นเรื่องของนักสู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่โดนฟ้องปิดปาก เป็นเรื่องของผู้แทนราษฎรทุกคน
“ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวันและคุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิมลูกสาวของผมอยู่ในนั้น บูมเมอแรงปาออกไปมันกลับมาหาเรา ผู้แทนราษฎรในที่นี้ มีพ่อแม่ของเราที่สู้มาก่อน มีเราที่กำลังสู้อยู่ และมีลูกหลานของท่านที่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าวันหนึ่งเขาอาจเอาชีวิตเข้าไปแลกกับเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นพลเมือง อาจเป็นลูกของผมก็ได้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของเราทุกคนในประเทศไทย การที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่มีสิทธิเสรีภาพ ก็เท่ากับไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเที่ยงตรงกับคนไทยทั้งประเทศเช่นกัน” นายพิธา กล่าว
ประเด็นที่ 2 คือสมดุลของ 3 เสาหลักในการแก้ปัญหาของประเทศไทย ตนอภิปรายครั้งแล้วครั้งเล่าว่าในทุกสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกของยุคสมัยจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อาจมีความเห็นต่างบางอย่างที่เราสบายใจหรือไม่สบายใจ อาจเป็นความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจที่เราไม่อยากรับฟังและทนไม่ได้ แต่เราจะทำอย่างไรได้นอกจากรับฟังเขาและหาฉันทามติร่วมกัน แต่ความเป็นจริง แทนที่เราจะรับฟัง กลับเลือกกดปราบผู้เห็นต่าง
ในฐานะผู้แทนราษฎร อันเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยที่เป็นตัวแทนใช้อำนาจของประชาชน ตนไม่อาจเพิกเฉยได้ เมื่อรัฐบาลถูกประชาชนตั้งข้อสงสัยว่ากำลังใช้อำนาจโดยมิชอบ บิดเบือนกฎหมายมาปราบปรามผู้ที่เห็นต่าง ไม่อาจเพิกเฉยได้ ที่ตุลาการถูกตั้งคำถามว่ามีบรรทัดฐานที่แตกต่างจากปกติหรือไม่ในการดำเนินคดีและให้สิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหาคดีการเมือง ทั้งที่หลักกฎหมายสากลระบุไว้ว่า ผู้ต้องหาในคดีอาญาทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ตราชั่งที่เอียง จะพาประเทศพังพินาศ และแม้ตราชั่งคิดว่าตนเที่ยงตรง แต่ประชาชนต่างสงสัยว่ามันเอียง ก็สามารถพาประเทศพินาศได้เช่นกัน
ประเด็นที่ 3 การหาทางออกของประเทศผ่านบันได 3 ขั้น ขั้นที่หนึ่ง คืนสิทธิประกันตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาควรได้ตั้งแต่แรก ให้กับผู้ต้องหาจำเลยทั้ง 15 คน โดยไม่มีเงื่อนไข ขั้นที่สอง คือการนิรโทษกรรมคนที่เห็นต่างทางการเมือง นักโทษคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2557ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 112 หรือมาตรา 116 เพราะที่ผ่านมา กระบวนการในประเทศไทย มีความกลับหัวกลับหาง ประเทศอื่นจะตามหาความจริง แล้วค่อยหาผู้รับผิดรับชอบ แล้วจึงค่อยปรองดอง แต่ประเทศไทยกลับกัน เอาปรองดองไปขึ้นหิ้งก่อน ไม่ต้องมีผู้รับผิดรับผิดชอบ การตามหาความจริงก็ไม่เกิดขึ้น กระบวนการนิรโทษกรรมและการปรองดองในประเทศไทยถึงวนอยู่ในอ่างอยู่แบบนี้ ทำให้ประเทศไทยไปต่อไม่ได้ เราไม่สามารถมีสมาธิแก้ปัญหาอย่างอื่น หากยังมีปัญหาการเมืองอยู่อย่างนี้
นายพิธา กล่าวด้วยว่า บันไดขั้นสุดท้ายคือการป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอนาคตอีก ด้วยการเอากฎหมายที่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นมาตรา 112 มาตรา 116 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หรือกฎหมายฟ้องปิดปาก นี่คือข้อเสนอของพรรคก้าวไกลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาในสภา
“เชื่อว่าถ้าเราทำตามบันได 3 ขั้นนี้ ระยะสั้น กลาง ยาว น้องทั้งสองคนมีโอกาสที่จะมีชีวิตต่อไป และฉลองชัยชนะของประชาชนไปด้วยกัน” นายพิธา กล่าว