ผู้ว่ากทพ. โต้ “ทวี” ยันต่อสัมปทานBEM หนี้แค่ 7.8 หมื่นล้าน ปชช.ได้ประโยชน์
ผู้ว่ากทพ. โต้ “ทวี” ปมต่อสัญญาสัมปทานBEM หนี้ 7.8 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 3 แสนล้านบาท ยืนยันหลักธรรมาภิบาลประชาชนได้ประโยชน์
ที่รัฐสภา นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แถลงกรณีพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ อภิปรายประเด็นการต่อสัญญาสัมปทานขั้นที่ 2 และทางพิเศษสายบางปะอิน – ปากเกร็ด
โดยนายสุรเชษฐ์ ชี้แจงใน 3 ประเด็น คือ
1.มูลค่าหนี้ที่พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า มูลค่าหนี้ตามข้อพิพาททั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาทนั้น
กทพ. ขอให้ข้อมูลว่า มูลค่าหนี้ตามข้อพิพาททั้งหมด มีมูลค่า 1.37 แสนล้านบาท ซึ่งต้องเป็นกรณีที่หากแพ้คดีกับ BEM และเนื่องจากได้มีการเจรจาต่อรองแล้ว ทำให้มูลหนี้ทั้งหมดจะมีมูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 3 แสนล้านบาท
ตามที่มีการกล่าวอ้าง 2.กรณีที่มีการอภิปรายว่า การรับสภาพหนี้ดังกล่าว ทำให้กทพ.มีหนี้เพิ่มจนทำให้ฐานะทางการเงินติดลบเป็นจำนวนมาก จากกำไร 6,000 ล้านบาท เป็นขาดทุน 65,000 ล้านบาท ทาง กทพ. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ในปี 63 ที่พบว่า กทพ. ขาดทุน 65,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น ซึ่งสถานะทางการเงินในภาพรวมที่แท้จริงยังมีความแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่กำไรทุกปี และนำเงินส่งรัฐปีละประมาณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า 3.ส่วนที่มีการอภิปรายว่า การขยายสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มิชอบตามกฎหมาย และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง ทาง กทพ.ยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ และเอกชนผู้ร่วมลงทุน ทั้งนี้ กทพ.
ขอยืนยันว่า บริหารงานโดยยึดประโยชนสูงสุดของประชาชน และภาครัฐ รวมถึงความถูกต้องตามกฎหมาย และหลักธรรมาภิบาล