ชำแหละเครือข่าย "ทุนจีนเทา" - "โรม" อัด "ประยุทธ์" เอื้อหลาน-พวกพ้อง
ชำแหละเครือข่าย "ทุนจีนเทา" - "โรม" อัด "ประยุทธ์" เอื้อหลาน-พวกพ้อง ปลุกพลังโหวตสั่่งสอน ชี้เลือกตั้งหัวเลี้ยวหัวต่อ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา152 ช่วงดึกของวันที่15ก.พ. ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายเน้นย้ำไปที่ความเชื่อมโยงเครือข่ายทุนจีนว่า นับตั้งแต่มีการจับกุมผับจินหลิงซึ่งพัวพันถึงกลุ่มทุนจีนสีเทา ตู้ห่าว จนถึงขณะนี้ตลอดระยะเวลาเต็มไปด้วยการเตะถ่วง หลบซ่อนเพื่อให้เหลือหลักฐานในคดีที่อ่อนที่สุด ตนจึงขอเรียกร้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) รวมถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ให้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเร่งรัดคดีดังกล่าว
ที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่กำกับดูแลก.ตร.ได้ติดตามความคืบหน้าค๊ดบ้างหรือไม่เหตุใดจึงปล่อยให้มีการเตะถ่วง หรือเป็นเพราะนายตู้ห่าวมีความเกี่ยวพันกับหลานชายของท่าที่เป็นผู้บริหารหจก.คอนเทมโพรารีที่จัดตั้งในที่ดินค่ายทหาร ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เคยรับงานกองทัพภาคที่3ในช่วงที่บิดาเป็นแม่ทัพภาค3รวมกว่า107ล้านบาท
รวมทั้งยังเอาบริษัทก่อสร้างไปปล่อยเช่ารถทัวร์ให้บริษัทในเครือตู้ห่าวทั้งที่ตัวเองก็มีบริษัทเช่า คดีที่เกิดขึ้นอย่างน้อยหลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ ควรจะต้องถูกเรียกตัวไปตรวจสอบ ซึ่งเท่าที่ทราบจากน.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่ได้อภิปรายเรื่องนี้ไปแล้วทราบว่า ตำรวจได้มีการเรียกหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ไปสอบแบบเงียบๆเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใสในการทำคดี
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ไม่ใช่แค่พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นแต่ยังพบว่า กลุ่มจีนเทายังมีความสนิทสนมกับกับร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นไม้เป็นมือให้กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะนายตู้ห่าวที่ปรากฎภาพถ่ายอย่างสนิทชิดเชื้อกับร.อ.ธรรมนัสในหลายครั้ง
ขณะเดียวกันยังพบว่ามีเครือข่ายทุนจีนข้ามชาติที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่888 อโศกดินแดง ที่มีร.อ.ธรรมนัสเป็นเจ้าของโฉนด และยังเป็นที่ตั้งของบริษัทอื่นๆทั้งTP Guard ที่ย่อมาจากธรรมนัสการ์ด รวมทั้งสบายใจMarket จำนวนนี้มีในส่วนของนายจาง เจียน ฟู่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แก๊งคอร์เซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน ขอถามว่าเงินที่ได้จากการกระทำผิดจะไปเข้ากระเป๋าใคร พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเคยลงนามปลดร.อ.ธรรมนัสมาแล้วเหตุใดจึงไม่ตรวจสอบเรื่องนี้
นอกจากนี้ยังพบว่า นอกเหนือจากนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าวที่บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐจำนวน3ล้านบาทแล้ว ยังปรากฎชื่อนายสิทธิกร .... ที่บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐเมื่อปี2564ในยุคที่ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาพรรคเป็นจำนวนเงิน3ล้านบาท เช่นเดียวกันและในปี2565ก็ยังบริจาคเงินให้พรรคเศรษฐกิจไทยอีกด้วย
ขณะที่ “หลินหลง” เครือข่ายทุนจีนเทาซึ่งก่อนหน้านี้ปรากฎข่าวแต่งกายเลียนแบบทหารยังพบว่า มีการถ่ายภาพร่วมกับผู้ใหญ่บ้านป่ารอยต่อ รวมถึงร.อ.ธรรมนัสและนายตู้ห่าว ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใด จึงมีการดำเนินคดีแค่นายตู้ห่าวเพียงคนเดียว
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า อีกหนึ่งเครือข่ายจีนข้ามชาติคือนายเซาเทียน โป ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการค้นบ้าน พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาสวมบัตรประชาชน พบว่ามีการแอบอ้างบุคคลมีชื่อเสียงโดยปรากฎภาพร่วมกับทั้งพล.อ.ประวิตร นายอนุชา นาคาศัย รมว.สำนักนายกรัฐมนตรีรวมถึง พล.อ. “ธ.”
ถัดมาคือ ในส่วนของนายเสอ จื้อ เจียง หัวหน้ากลุ่มค้ามนุษย์นานาชาติรายใหญ่ บริษัทหย่าไท่ที่พยายามเข้ามาทำธุรกิจในไทย อีกทั้งปรากฎภาพ บริษัทของนายเสอ จื้อ เจียง พยายามเข้ามาทำธุรกิจในไทยด้วยการสำรวจพื้นที่ลงทุนในแม่สอด และยังเป็นตัวแทนบริษัทในการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาธุรกิจคาสิโน สภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ผ่านมา
ข้อมูลยังพบว่า นายเสอ จื้อ เจียง ยังเป็นประธานกิตติมศักดิ์ มณฑลศ่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย ที่มีนายหยู ซิน ฉีเป็นประธาน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ไม่เคยจดทะเบียนตามกฎหมายและถูกปิดตัวลงตั้งแต่วันที่18ต.ค.2560 แต่กลับพบว่าล่าสุดเมื่อวันที่6ก.พ.2566ยังพบความเคลื่อนไหวในนามสนาคม ขณะที่ในส่วนของนายหยู ซิน ฉี มักโพสต์ภาพพร้ออ้างตัวว่า ว่ามีความสนิทราชวงศ์ รวมถึงบุคคลสำคัญของไทยอีกด้วย
จากข้อมูลพบว่านับตั้งแต่ปี2563-2564 พบกลุ่มจีนเทามีการขอวีซ่าในรูปแบบของวีซ่านักเรียนผ่านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)แล้วกว่า7พันรายขอถามว่ารัฐบาลได้ตรวจสอบหรือไม่อย่างไร
ทั้งที่จากการลงพื้นที่ย่านเยาวราชพบว่า ประชาชนประสบปัญหากลุ่มจีนเทาแย่งที่ทำกินของประชาชนปัญหาต่างๆเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ลุกลามมานานนับปีสิ่งที่น่าเจ็บปวดคือคนที่สมรู้ร่วมคิดคือคนไทยด้วยกันที่แฝงตัวในทุกวงการมา8ปี
“ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะตัดสินว่าเราจะเลือกที่จะอยู่กับปัญหาเหล่านี้ต่อไป หรือจะได้เวลาที่จะร่วมกันไล่คนเหล่านี้ออกจากประเทศ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายอนุชาได้ใช้สิทธิพาดพิงกรณีปรากฎภาพรวมกับเครือข่ายทุนจีนข้ามชาติว่า นายรังสิมันต์กับตนก็รู้จักกันเป็นอย่างดีฉะนั้นก็น่าจะถามตนก่อน กรณีที่เกิดขึ้นขอเรียนว่าตนเป็นส.ส.เป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นการเข้าพบจริงที่รัฐสภา แต่ยืนยันว่าไม่รู้จักบุคคลในภาพแต่อย่างใด