ประวิตร เผย 8ปี ตาสว่าง ขอให้เชื่อ ผมใจใหญ่ ถ้ามีอำนาจ เอานโยบายทุกพรรคทำจริง

ประวิตร เผย 8ปี ตาสว่าง ขอให้เชื่อ ผมใจใหญ่ ถ้ามีอำนาจ เอานโยบายทุกพรรคทำจริง

“ประวิตร” โพสต์บทสรุป ก้าวข้ามขัดแย้ง ชี้ ระบบสภา ยุติเห็นต่าง แต่ขัดแย้งเกิด พอเสียงข้างมาก ทำเพื่อประโยชน์พวกพ้อง ฝืนมติปชช. พึ่งไม่ได้ เกิดม็อบ ทหารยึดอำนาจ เผย ถ้าเป็นรัฐบาล จะคัดนโยบายทุกพรรคมาทำจริง ขอให้เชื่อ หัวใจผมใหญ่ แก้อดีตที่ล้มเหลว 8 ปี คิดได้อะไรดีกว่าเดิม

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวชื่อ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุว่าบทสรุป สู่ก้าวข้ามความขัดแย้ง ทีมงานได้วิเคราะห์ให้ผมฟังว่าจดหมายทั้ง 5 ฉบับ ไม่มีใครโต้แย้งในสาระสำคัญในเรื่องของเนื้อหาจากสื่อและสังคม แต่ก็มีสื่อบางท่านตั้งคำถามว่า จะทำได้หรือไม่ ซึ่งนั่นก็แปลว่าหากทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศ สื่อบางท่านบ่นว่า ยาวไปหน่อย ก็ต้องตอบว่าสังคมโดยทั่วไป มีทั้งผู้เข้าใจและไม่เข้าใจ รวมทั้งสื่อเองก็อาจจะมีความเข้าใจแตกต่างกัน ระหว่างสื่อที่ทำข่าวการเมือง กับสื่อเศรษฐกิจหรือสื่อกีฬา ทีมงานจึงต้องระมัดระวังเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมโดยทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ ทีมงานจึงขอให้ผมใช้วิธีการสื่อสารด้วย Facebook จะอธิบายได้ดีกว่า ชัดเจนกว่าเพราะหากผมทำในสิ่งที่ผมไม่ถนัด คือการให้สัมภาษณ์ ซึ่งผมเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว อาจจะถูกตีความหมายผิดไปจากที่ผมต้องการสื่อสาร และจะต้องมาตามแก้ไขในภายหลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใดสำหรับการเมือง และสำหรับความคิดของผมที่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า

จดหมายฉบับนี้ จั่วหัวว่า เป็นบทสรุป "สู่ก้าวข้ามความขัดแย้ง" ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้ว ในหลายฉบับที่ผ่านมาว่า ปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของแนวคิด ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม มีมาอย่างยาวนาน แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องความไม่เข้าใจในเรื่องที่มาของปัญหา ว่าเกิดมาจากอะไร ทีมงานจึงถือโอกาสนี้อธิบายให้เข้าใจ ว่า ประเทศไทยของเรานั้นเลือกที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั่นก็คือการปกครองด้วยเสียงข้างมาก กล่าวคือผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ก็จะถือว่า เป็นมติของประชาชน อันจะส่งผลให้ผู้สมัครท่านนั้นได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหากพรรคใดรวมเสียงข้างมากได้ก็จัดตั้งรัฐบาลในสภา ซึ่งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ในหลักการแล้ว นับได้ว่า สภานี้เป็นสภาของประชาชนไม่ใช่เป็นสภาของนักการเมือง

เมื่อสภาเป็นของประชาชน การใช้เสียงข้างมากเพื่อหาข้อยุติในความเห็นต่าง บนผลประโยชน์ของส่วนรวมนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่นับว่าเป็นความขัดแย้ง ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มีการใช้มติของเสียงข้างมากในสภาบนผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องแล้วก็ไปอ้างว่าเป็นมติพรรค จึงไปฝืนความรู้สึกของมติประชาชนที่เห็นต่าง และมีการทักท้วงจากสื่อและสังคมในกรณีที่ขัดแย้งกันซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่สภาก็ไม่ฟังทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า สภาไม่ใช่เป็นของประชาชนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสภาของนักการเมือง จะเอาเป็นที่พึ่งต่อไปไม่ได้แล้ว และประชาชนก็ตัดสินใจออกมาต่อต้าน มติของสภาและขับไล่รัฐบาล โดยไม่คิดแก้ไขตามกลไกของประชาธิปไตยคือ รอให้มีการเลือกตั้ง จึงทำให้เหตุการณ์ลุกลามกลายเป็นวิกฤติที่ทำให้ฝ่ายทหารต้องนำกำลังออกมาเพื่อยุติปัญหา ซึ่งเท่ากับว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกลับเข้ามาควบคุมอำนาจอีกครั้งหนึ่ง 

นี่คือสิ่งที่ทีมงานพยายามอธิบาย ครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผมฟังเพื่อให้เข้าใจว่า ที่มาของปัญหาเกิดจากภายในสภาแต่มาจบกันนอกสภา หลังจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ควบคุมอำนาจได้แต่ก็พ่ายแพ้ทุกครั้ง เมื่อการได้อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้ง

ในทางตรงข้าม ฝ่ายประชาธิปไตยแม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่เสมอ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการเข้ามาควบคุมจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ต่อโครงสร้างอำนาจของประชาชน

เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะที่ผู้ล้มเหลวทั้งสองฝ่าย ต่างก็ผลัดเข้ามาควบคุมอำนาจอาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญจึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา

นโยบายของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ผู้นำทั่วโลกของแต่ละยุคแต่ละสมัยต่างก็ปรับเปลี่ยนนโยบาย ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ ในช่วงเวลานั้นๆ การเมืองไทยก็เช่นกัน นโยบายในการบริหารประเทศของแต่ละพรรค การเมืองที่ต่างก็กำลังเสนอออกมาในขณะนี้ นับได้ว่าเป็นนโยบายที่ดีเพราะกลั่นกรอง มาจากบุคลากรชั้นนำของแต่ละพรรค แต่เป็นที่น่าเสียดายหากนโยบายเหล่านั้นจะไม่ได้รับการนำไปใช้เพราะ ต้องไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล 

ผมตั้งใจว่าเมื่อ พรรคผมเป็นรัฐบาล ผมจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก นำนโยบายดีๆของทุกพรรค ที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียง เอามาทำและปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ได้มีความรังเกียจหรือแบ่งแยก หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้

นี่คือการเมืองที่อยู่ในใจผม การเมืองที่ไม่ต้องมี ผู้ชนะเด็ดขาด ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนัก ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟู และพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก 

ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผมพูดไม่เก่ง แต่ ผมมีหัวใจ หัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ ก้าวข้ามความขัดแย้ง วิธีที่ผมคิดไว้คือให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อ ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เพียงแต่ว่าเป็นประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท เคารพในเสียงส่วนใหญ่ แต่เปิดใจรับฟังเสียงส่วนน้อยที่มีความรู้ ความสามารถด้วยเจตนาดีต่อความเป็นไปของประเทศ

ที่ผมอยากจะย้ำ คือขอให้เชื่อผม เหมือนที่ผมเชื่อตัวเอง ว่าผมทำได้ เพราะหัวใจผมใหญ่พอมาก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เราจะอยู่กับความเห็นต่างที่มีมากด้วยความเห็นชอบ ไม่ใช่เห็นชอบกับสิ่งที่ตนเองคิด และจะคอยรับฟังการรายงานข้อสรุป ที่เป็นประโยชน์ โดยมีหลักคิดอยู่ในใจว่า

ปัจจุบันคือแก้ไขอดีตที่ล้มเหลว เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า และนี่คือสิ่งที่นักการเมืองหลายท่านกำลังทำ ด้วยหลักคิดเดียวกันคือการย้ายพรรค จากฝ่ายรัฐบาล ไปสู่ฝ่ายค้าน หรือจากฝ่ายค้านไปสู่รัฐบาล ซึ่งท่านคงมองถึงอนาคตที่ดีกว่า และก็คงทำต่อไปแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ 

8 ปี ที่ผ่านมาสอนให้ผมเรียนรู้และได้คิดว่า อะไรที่ดีกว่าเดิม เพื่อจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและจะต้องทำด้วยวิธีคิดใหม่ๆ เพราะการที่จะคิดอยากได้สิ่งใหม่ๆ โดยใช้วิธีเดิมๆ นั้นไม่น่าจะได้ผล ส่วนที่ผมคิดจะถูกหรือจะผิด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน