ชูวิทย์ โต้“ทนายตั้ม” แฉไป ไถไป แจงรับเงิน 6 ล้าน สารวัตรซัวจริง แต่บริจาค รพ.
“ชูวิทย์” อุ้มพระเจ้าตาก สาบานต่อหน้าสื่อ โต้กลับ “ทนายตั้ม” ปม“แฉไป ไถไป” แจง 2 นายพลตำรวจให้เงิน 6 ล้าน ของสารวัตรซัวจริง ก่อนบริจาคให้โรงพยาบาล ถามกลับ รับงานใครมาโจมตี
ภายหลังนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวแฉ นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ในประเด็น “แฉไป ไถไป” รับเงินจากผู้ทำเว็บพนันออนไลน์ และนักธุรกิจผิดกฎหมาย จำนวนหลายล้านบาท ทั้งที่นายชูวิทย์ เป็นคนแฉเรื่องดังกล่าวเองนั้น
ล่าสุด นายชูวิทย์ แถลงโต้กลับ นายษิทรา หรือทนายตั้ม หลังถูกกล่าวหาเรื่องดังกล่าว พร้อมได้อุ้มพระบรมรูปหล่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมให้สัตย์ว่า หากพูดโกหก ก็ขอให้เกิดความวิบัติแก่ตนเอง หากพูดความจริงก็ขอให้เกิดแต่ความเจริญ พร้อมแสดงเชิงสัญลักษณ์โดยการนำเหรียญมาหยอดใส่ตาชั่ง
โดยนายชูวิทย์ เปิดเผยว่า ทนายตั้มรับข้อมูลจากนายเปา หลานที่ตนเลี้ยงดูมาดั่งลูก ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะพ่อเขาติดคุก ส่วนแม่ก็แยกทางไป ตนส่งเสียให้เรียนโรงเรียนชื่อดังจนจบ แล้วก็มาติดตามตัวเอง กระทั่งตนติดคุก จึงให้นายเปาไปค่อยเก็บเงินค่าเช่าคอนโดมิเนียมของตน เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง แต่นายเปาอ้างว่าผู้เช่าไม่ยอมให้เงิน
จนกระทั่งต่อมาหลังจากที่ตนออกจากคุกก็มาทราบว่า นายเปาได้รับเงินค่าเช่า แต่ไม่ได้เอามาให้ ตนจึงต่อว่า หลังจากนั้นนายเปาได้ลาออก และไปทำงานกับ สารวัตรซัว ซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกันมา
โดยเรื่องที่ ทนายตั้ม กล่าวหานั้น ประเด็นแรก ยอมรับว่าตนเองเคยพบกับนายแทนไท โดยมีอดีตนายตำรวจยศ “พล.ต.อ.” พามาหาที่โรงแรมแห่งนี้ ตอนกลางวัน เพื่อปรึกษาว่า จะฟ้องร้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิ แล้วถูกต่อว่า เพราะไม่เชื่อว่านายแทนไท จะทำธุรกิจขาวสะอาด ตนก็แนะนำว่าอย่าไปฟ้อง เพราะสู้ไม่ได้ ก่อนนายแทนไท จะกลับไป ตนไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง
ประเด็นต่อมาคือ เรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาท โอนเข้ามายังบัญชีของกล่องดวงใจหรือ นายเติม ลูกชายคนเดียวของตนหรือไม่ ตนยืนยันว่า ลูกชายตัวเองมีอันจะกิน เพราะได้รับเงินเดือนจากตน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินก้อนดังกล่าว โอนเข้ามาตามที่ ทนายษิทรา กล่าวอ้าง
นายชูวิทย์ กล่าวต่อมาประเด็นเรื่องรูปเงินทั้ง 2 ถุง ที่ทนายษิทราโพสต์ไว้ และบอกว่ามีเงินมากกว่า 6 ล้านบาทตามที่ตนระบุ โดยตนขอชี้แจงว่า เงินดังกล่าวมี 2 ถุง ถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าว มีตำรวจเกษียณราชการ ยศ พล.ต.ท. ชื่อ อ. และอีกนายยศ พล.ต.ต.ชื่อ ป. ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำเงินจำนวนดังกล่าวมาให้
โดยอ้างว่าเป็นเงินของ สารวัตรซัวร์ มาให้ตน แต่ตนได้ปฏิเสธไม่รับ แต่ทั้ง 2 คน ไม่ขอเอาเงินกลับไป วางไว้ที่โต๊ะ ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องรับไว้ ซึ่งภาพจำนวนเงินดังกล่าว ไม่ได้ถ่ายที่โรงแรมแห่งนี้ และไม่ทราบว่า ผู้ใดนำไปเปิดเผย ภายหลังตนได้ตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.และ โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค.
พร้อมยอมรับว่า ตัวเองไม่มีทางออกเนื่องจาก 2 คน ที่เอาเงินมาวางไว้ ไม่ยอมเอากลับ ซึ่งตามจริง ตนควรจะนำไปให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ จึงนำไปบริจาค เพราะไม่กล้าใช้ ยิ่งหากได้เงิน 10 ล้านบาทจริงตามที่ทนายตั้มอ้าง ตนจะแบ่งเก็บ และบริจาคก็ได้ แต่ตัวเองมีทรัพย์สินมากกว่าที่ได้รับมาเยอะ และยินดีให้สังคมตัดสินว่า ตัวเองเป็นอย่างไรกับการนำเงินสีเทาไปบริจาค เพราะตนมักพูดเสมอว่า ตัวเองไม่ใช่คนดี
นายชูวิทย์ ยังถามถึงทนายษิทราว่า รับงานมาจากใคร ยอมรับว่า มีบางเรื่องที่กล่าวหามานั้น มีทั้งถูก และผิด ซึ่งไม่ทราบเหตุผลที่ ทนายตั้ม ต้องออกมาพูดในครั้งนี้ พร้อมตอบคำถามที่ว่า ทำไมตนถึงไม่แฉเรื่องนายแทนไท ยอมรับว่า ตัวเองมีข้อมูลเขาน้อยมาก จึงไม่นำมาแฉ
รวมถึงหลังจากนี้ ตนไม่ยอมรับนายเปา เป็นหลาน เพราะถือว่าเนรคุณ ซึ่งปัจจุบันตนไม่เคยได้พบ หรือติดต่อกันอีก และตนก็ทราบภายหลังว่า นายเปา ถือหุ้นลาลิซ่าอาบอบนวด ที่มีเสี่ยกำพล ร่วมกับสารวัตรซัวร์ เป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ตนมาแฉเรื่องธุรกิจสีเทา มีกลุ่มคนที่ทำธุรกิจสีเทา พยายามจะเข้ามาพบ หรือหารือตนเสมอ และเสนอเงิน แต่ตนไม่เคยรับเงินจากลุ่มไหนเลย ยกเว้นที่ 2 นายตำรวจ เอามาวางไว้ให้ ซึ่งเป็นเหตุจำใจที่ต้องรับ ส่วนนายแทนไท มาพร้อมกับนายตำรวจที่ตนรู้จัก จึงได้เจอตัวเป็นๆ พร้อมยืนยันว่า ไม่เคยพบ หรือแม้แต่จะโทรศัพท์คุยกับสารวัตรซัว
ฝากถึงทนายตั้มด้วยว่า หากมีหลักฐานอื่นก็ยินดีให้เปิดเผย ยอมรับว่าไม่โกรธ เพียงแต่สงสัยว่า จู่ๆ ก็มาทิ่มแทงตนในเวลานี้ หากได้คุยกับตน หรือเข้ามาหารือกัน ก็สามารถชี้แจงได้ และในอนาคต หากทนายตั้มสนใจอยากร่วมแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้ากับตนก็ยินดี แต่ต้องเป็นประโยนช์ต่อประชาชนส่วนใหญ่