14 พฤษภาคมนี้ เลือกแล้วไม่เลือกเลย | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
วันที่ 14 พฤษภาคมนี้จะเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตอนนี้ยังพอมีเวลาขบคิดตัดสินใจว่าควรมอบคะแนนเสียงให้กับใคร ยังไม่ต้องรีบร้อน ยังไม่ต้องรีบปักใจ เก็บข้อมูลและสังเกตพฤติกรรมของคนที่เราหมายตาไว้ให้ละเอียดที่สุด
ถ้าเป็นผู้สมัครหน้าเก่าให้ลองนึกย้อนกลับไปว่าสมัยที่แล้วๆ มาตอนเขาได้รับเลือกตั้งไปเขาทำอะไรให้กับชุมชนและชาติบ้านเมืองบ้าง หรือว่าได้รับเลือกไปแล้วก็หายหน้าหายตาไปเลย ปีหนึ่งโผล่มาให้เห็นหน้าแค่สองสามครั้งเฉพาะตอนมีงานใหญ่
เช่นเดียวกัน ผู้สมัครที่สอบตกในรอบก่อนเขามีพฤติกรรมอย่างไร แพ้แล้วหายเข้ากลีบเมฆ หรือยังหมั่นวนเวียนไปมาหาสู่ดูแลชาวบ้านในเขตเลือกตั้งของตนอย่างต่อเนื่อง ให้ความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
สำหรับผู้สมัครหน้าใหม่คงประเมินยากหน่อย บางคนเราอาจไม่เคยเห็นหน้าค่าตารู้จักมักคุ้นกันมาก่อน หากเป็นคนที่เคยทำงานเพื่อสังคม มี “ชื่อเสียง” หรือ “ชื่อเสีย” เป็นทุนเดิมอยู่แล้วยังพอทำเนา
แต่ที่ความดียังไม่เห็น การทำงานเป็นยังไม่ปรากฏ แล้วดีแต่พูดนี่แหละน่าปวดหัว ไม่รู้จะเลือกยังไงดี
พวกเราต่างก็อยากได้คนดีเข้าไปดูแลบริหารบ้านเมือง แต่ความอยากไม่ได้รับประกันว่าเราจะเลือก ส.ส. ได้ถูกเสมอไป เพราะว่าผู้เข้าประกวดทุกคนพยายามนำเสนอตัวเองให้ดูดีที่สุดอย่างสุดฤทธิ์ จนแทบแยกไม่ออกว่าคนไหนของจริงคนไหนย้อมแมวขาย
ในเมื่อกระบวนการต้นทางในการเลือกคนมันไม่สมบูรณ์แบบ สิ่งที่เราต้องทำคือ เลือกแล้วไม่เลือกเลย อย่าลืมว่าเขาได้คะแนนเสียงของเราไป จึงเป็นหนี้บุญคุณเรา เราต้องติดตามดูพฤติกรรมในสภาของเขาด้วย
หากพูดอะไรไว้แล้วไม่ทำตามสัญญา หายตัวเข้ากลีบเมฆ ไม่เอาใจใส่ประชาชน ไม่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเราอย่างแท้จริง ก็กาหัวเอาไว้เลย เลือกตั้งคราวหน้าขอลาขาดกัน
โดยปกติแล้ว ก่อนลงคะแนนเสียงเรามักจัดลำดับความชอบไว้ในใจว่าใครเป็นพระเอก ใครบ้างเป็นพระรอง การที่พระเอกได้รับเลือกไม่ได้หมายความว่าเราควรจะให้ความสนใจติดตามกิจกรรมของพระเอกเท่านั้น ต้องแบ่งความสนใจไปติดตามพระรองเช่นกัน
เพราะเมื่อติดตามพฤติกรรมหลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งของเขาก็จะได้เป็นธาตุแท้ของคนเหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น ในอนาคตหากพระเอกของเราเกิดออกลาย เลือกตั้งคราวหน้าจะได้ตัดสินใจได้ถูกว่าพระรองคนไหนจะได้คะแนนเสียงของเราไปแทน
การเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ต้องมองกันระยะยาว อย่าตั้งความหวังว่าการเลือกตั้งแค่ครั้งสองครั้งจะปฏิรูปการเมืองไทยได้
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นเรื่องซึ่งต้องใช้เวลานานมาก และผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยไม่ใช่เหล่า ส.ส. ในสภา พวกเราประชาชนผู้มีสิทธิมีเสียงต่างหากเป็นผู้กำชะตาอนาคตการเมืองไทย
ความจริงแล้ว นักการเมืองไทยส่วนหนึ่งมีคุณสมบัติสำคัญที่เหมือนกันสองประการ
1. นักการเมืองอาจแสดงออกเหมือนคนไม่มีเหตุผล แต่ถ้าดูให้ดีจะพบว่า ทุกการกระทำของเขามีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ ก่อนตัดสินใจทำอะไรจะชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียว่าทำไปแล้วคุ้มหรือเปล่า
2. ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเห็นแก่ตัวหรือนักการเมืองเห็นแก่ชาติก็เป็นคนมองการณ์ไกลเหมือนกัน
คนเห็นแก่ตัวหวังจะได้รับเลือกเพื่อเขาไปตักตวงผลประโยชน์โกงกินชาติบ้านเมืองเอารัดเอาเปรียบประชาชนเพื่อให้ตัวเองได้ร่ำรวยมีอำนาจมากขึ้น คนที่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองก็คิดจะกลับเข้าไปสานต่องานให้สำเร็จ เพื่อให้ประเทศของเราดีขึ้น
การที่การเมืองของเรายังติดหล่มอยู่แบบนี้ จะโทษเหล่านักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ พวกเราก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน นอกจากประชาชนแล้ว เสาหลักอีกต้นหนึ่งคือสื่อมวลชนทั้งหลาย
เพราะลำพังชาวบ้านร้านตลาดคงไม่มีเวลาไปหาข้อมูลติดตามการทำงานของ ส.ส. อยู่ตลอดเวลา ขืนทำแบบนั้นก็ไม่ได้ทำมาหากินกันพอดี
สื่อต้องทำหน้าที่เป็นผู้คอยขุดคุ้ยเปิดเผยและเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ให้กับประชาชนอย่างเที่ยงตรงเป็นธรรมไม่เติมไข่ใส่สี เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง สามารถได้ตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใคร และคนที่เลือกเข้าไปเป็นของจริงหรือเปล่า
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผลเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมจะออกหัวหรือออกก้อย ใครจะอยู่ใครจะไป จึงคาดได้ยากว่าทิศทางการเมืองไทยในสมัยหน้าจะไปทางไหน ถึงสุดท้ายแล้วผลออกมาไม่ดีเหมือนที่คาดหวังไว้ก็ไม่เป็นไร การที่เราคอยติดตามส่งเสียงทักท้วงเมื่อเขาออกนอกลู่นอกทางระหว่างที่ดำรงตำแหน่งก็ช่วยได้เหมือนกัน
ที่สำคัญก็คือ เราต้องตระหนักว่า ส.ส. ทั้งหลายถูกเลือกเข้าไปเพื่อ “รับใช้ประชาชน”
คอลัมน์ หน้าต่างความคิด
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
[email protected]