อันเนื่องมาจากเรื่องนักการเมืองหน้าใหม่ ‘ผายลม’ | ไสว บุญมา
คำมั่นสัญญาของนักการเมืองหน้าใหม่ที่ว่าจะแจกเงินดิจิทัลจำนวน 10,000 บาทให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคนหากฝ่ายตนได้เป็นรัฐบาล เรียกความสนใจได้อย่างกว้างขวาง ตามด้วยการวิพากษ์อย่างเข้มข้นของบุคคลจากหลายวงการ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คอลัมน์นี้พูดถึงคำมั่นสัญญานั้นในขณะที่มันยังคลุมเครือมาก จึงได้แต่ตั้งข้อสังเกตบางอย่างไว้ในแนวของการเปิดประเด็นคร่าว ๆ เท่านั้น วันนี้ขอนำบางประเด็นมาขยาย
ในเบื้องแรก คำมั่นสัญญานั้นเป็นการ “เกทับ” พรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคที่สัญญาว่าจะสรรหาของเปล่ามาให้ประชาชนรวมทั้งการแจกเงินในหลายรูปแบบ แต่จำนวนล้วนต่ำกว่า 10,000 บาทมากหากดูอย่างผิวเผิน
ไม่ว่าจะมากหรือน้อย การแจกเหล่านั้นเป็นการสานต่อนโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายที่ถูกนำเข้ามาใช้เมื่อปี 2544 โดยพรรคและนักการเมืองที่ให้กำเนิดพรรคของนักการเมืองหน้าใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จากมุมมองของประชานิยม
การที่ผมทำนายไว้ตั้งแต่วันนั้นว่า สังคมไทยจะเสพติดประชานิยมเช่นเดียวกับสังคมอื่นรวมทั้งอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลาจึงไม่ผิด คำทำนายนั้นรวมกับกระบวนการเดินเข้าสู่ความหายนะของผู้ใช้ประชานิยมแบบเลวร้าย อาจหาอ่านได้ในหนังสือขายดีชื่อ “ประชานิยม ทางสู่ความหายนะ” ซึ่งพิมพ์ออกมากว่าทศวรรษแล้ว
ณ วันนี้หนังสือไม่มีวางขาย หากผู้ใดจะนำไปพิมพ์เป็นวิทยาทาน ผมยินดีมอบลิขสิทธิ์ให้ ในปัจจุบัน ผู้สนใจอาจดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา และฟังได้จาก YouTube
หนังสือเล่มนี้ตั้งข้อสังเกตว่า อาร์เจนตินาใช้เวลา 40 ปี ก่อนที่การเสพติดประชานิยมแบบเลวร้ายจะพาไปสู่ความล้มละลายครั้งแรกเมื่อปี 2499 จากนั้นมา อาร์เจนตินาก็พัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานอย่างต่อเนื่อง ผสมกับการเมืองอันแสนโหดร้าย ซึ่งรัฐบาลทหารทำให้ประชาชนตายและสูญหายนับหมื่นคนในช่วงปี 2517-2526
เมืองไทยจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่จึงเป็นปริศนาน่าขบคิด ผมยังมองว่าการเสพติดชนิดนี้เลิกยากมาก แต่เมืองไทยจะไม่เป็นเช่นอาร์เจนตินาหากยังรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดไว้ได้
อย่างไรก็ดี เนื่องจากประชานิยมจะแย่งเอางบประมาณไป ยังผลให้เหลือไว้สำหรับด้านอื่นน้อยลง ไม่ว่าจะเป็น ด้านปัจจัยพื้นฐาน หรือด้านการศึกษา การพัฒนาจึงจะเป็นไปได้ช้ากว่าอัตราที่น่าจะทำได้
ในบรรดาการวิพากษ์จากหลายวงการ มีผู้คาดเดาว่าคำมั่นสัญญาดังกล่าว จะนำไปสู้การสร้างภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นให้แก่ประเทศ ซึ่งในขณะนี้ทะลุเพดานที่ตั้งไว้มิให้เกิน 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศแล้ว จากมุมมองนี้ วินัยทางการคลังของไทยเริ่มบ่งชี้ไปในทางหย่อนยานกว่าเก่า
ดังเป็นที่ทราบกันดี ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งดำเนินโดยพรรคและนักการเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของพรรคที่เสนอแจก 10,000 บาท การเอ่ยถึงพรรคและนักการเมืองต้นกำเนิดเหล่านั้นทำให้โยงไปถึงคนกลุ่มเดียวกันที่เคยเสนอให้นำทุนสำรองของประเทศออกมาใช้ และก่อตั้งกองทุนมั่งคั่ง
ผมอธิบายไว้หลายครั้งในหลายเวทีว่าจะนำไปสู่ความหายนะ ฉะนั้น เป็นไปได้ว่าถ้าปิดงบประมาณเนื่องจากโครงการแจก 10,000 บาทไม่ได้ พวกเขาจะใช้วิธีมักง่ายตามแนวที่เคยคิดไว้แล้ว ขอเรียนย้ำว่า อาร์เจนตินาเคยทำแบบนั้นหลังปิดงบประมาณไม่ลงก่อนล้มละลายเพราะนโยบายประชานิยม
เรื่องราวที่เล่ามานี้ชี้ชัดว่า พรรคและนักการเมืองใหม่ที่เสนอการแจก 10,000 บาท เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของมะเร็งร้ายที่แฝงมาในหลายรูปแบบเริ่มจากปี 2544 การเลือกพรรคนี้ให้กลับมามีอำนาจอีกครั้งจึงเป็นเสมือนการทำอัตวินิบาตกรรมแบบผ่อนส่ง
อย่างไรก็ดี เนื่องจากพรรคนี้มิใช่พรรคเดียว ที่เสนอการแจกเป็นส่วนประกอบสำคัญของนโยบาย หากยังมีอีกหลายพรรคที่เสนอจะทำ และในช่วง 4 ปีที่เป็นรัฐบาลหากข้อเสนอเหล่านั้น มิใช่การผายลมจะต้องใช้งบประมาณมากกว่าของพรรค 10,000 บาทหลายเท่า
ฉะนั้น การเลือกหนึ่งในพรรคมักง่ายเหล่านี้ จึงมีความแตกต่างกันน้อยมากหากมองจากมุมของผลของนโยบายประชานิยม การเสนอเพิ่มยาเสพติดและการเลือกพรรคที่เสนอเป็นความมักง่ายที่สังคมไทยควรลดทันที.