ทำไมโพลถึงมีสิทธิ์เพี้ยน | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
โพลการเมืองมีโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะโพลที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง การทำโพลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นกัน มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสองทางว่าผลการเลือกตั้งใกล้เคียงกับผลโพล หรืออาจเป็นไปได้เหมือนกันว่าผลที่ออกมาทำให้คนทำโพลหน้าแตกไปตาม ๆ กัน
ตามความเชื่อของคนทั่วไป การทำโพลนั้น กลุ่มตัวอย่างยิ่งมาก ก็ยิ่งมีความแม่นยำ ในความเป็นจริง ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่อย่างเดียวไม่เพียงพอ การกระจายตัวของกลุ่มตัวอย่างก็มีความสำคัญเช่นกัน กลุ่มตัวอย่างขนาด 500 คน ที่มีการกระจายตัวดี ย่อมให้ผลที่น่าเชื่อถือกว่ากลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน แต่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่ม
โจทย์ที่ผู้ทำโพลต้องตีให้แตก คือ จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไหนที่จะทำให้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรทั้งหมด การสุ่มตัวอย่างและการคำนวณผลจึงต้องอิงอยู่กับหลักวิชาทางสถิติ เพราะหลักทางสถิติจะบอกเราว่า การสุ่มตัวอย่างแต่ละวิธี ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างเท่าไหร่คำนวณด้วยวิธีไหน จึงจะเหมาะสม
สมมติฐานเบื้องหลังของทฤษฎีทางสถิติเหล่านี้ คือ กลุ่มตัวอย่างทุกคน มีแนวโน้มที่จะตอบ หรือไม่ตอบคำถามแบบ 50 : 50 นั่นแสดงว่า หากประชากรในกรุงเทพฯ 100 คน ประกอบไปด้วยข้าราชการ 30 คน พนักงานบริษัท 40 คน พ่อค้าแม่ค้า 30 คน
การสุ่มตัวอย่างตามหลักสถิติ 100 คน เราควรได้คนตอบที่เป็นข้าราชการประมาณ 30 คน พนักงานบริษัทประมาณ 40 คน พ่อค้าแม่ค้าประมาณ 30 คน อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้นิดหน่อยก็ยังพอรับได้
หากโอกาสตอบหรือไม่ตอบคำถามของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 50 : 50 จริงสำหรับคนทั้งสามกลุ่ม ผลที่ออกมาจากการสำรวจก็จะสะท้อนความเห็นได้ค่อนข้างดี
แต่โอกาสที่แต่ละคนจะตอบหรือไม่ตอบคำถามนี่แหละ ที่เป็นปัญหาในการทำโพลช่วงก่อนเลือกตั้ง เพราะคนที่ยอมให้เวลากับการตอบคำถามของผู้ทำโพลส่วนหนึ่งเป็นคนที่อยากแสดงออก อยากพูด อยากระบายอยู่แล้ว จึงแนวโน้มในการ “อยากตอบ” มากกว่า 50 : 50
โดยหลักคนที่อยากตอบจะมีสองกลุ่มด้วยกัน (ไม่นับกลุ่มคะแนนเสียงจัดตั้งที่บางพรรคจ้างให้ไปรอตอบโพลเพื่อปั่นกระแส)
กลุ่มแรก คือ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จนไม่พอใจกับการทำงานของรัฐบาล ไม่ว่าความเดือดร้อนนั้นจะเกิดขึ้นจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล หรือเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ก็ตาม
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่มีความรักใคร่ชอบพอผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ
การเลือกตั้งครั้งไหนที่มีคนสองกลุ่มอยู่ ถึงผู้ทำโพลจะสุ่มตัวอย่างให้ตามหลักสถิติ ความเพี้ยนก็ยังมีอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น ข้าราชการที่สุ่มมา 30 คน อาจมีคนสามกลุ่มนี้รวมกันอยู่จำนวน 15 คน หรือครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง สมมติว่า คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะตอบหรือไม่ตอบคำถามเท่ากับ 80 : 20 นั่นแสดงว่า ใน 15 คนของคนกลุ่มนี้ จะมีคนยินดีตอบคำถามของผู้สำรวจ 12 คน
ถ้าคนกลุ่มที่เหลืออีก 15 คน มีแนวโน้มที่จะตอบหรือไม่ตอบคำถามเท่ากับ 50 : 50 แสดงว่า ใน 15 คนของกลุ่มนี้จะมีคนยินดีตอบคำถามของผู้สำรวจจำนวน 7 ถึง 8 คน ทำให้แม้ว่าผู้ทำโพลจะพยายามทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ โอกาสที่ผลสำรวจจะคลาดเคลื่อนก็ยังเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้แล้ว ช่วงเวลาที่สำรวจก็มีผลเช่นกัน เช่น ในปี 1948 แกลลัพทำการสำรวจเพื่อคาดการณ์ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าจะมีคนโหวตให้โธมัส ดิวอี้ราว 45% และแฮรี่ ทรูแมนราว 41% เลยทำให้สื่อเอาพาดหัวข่าวกันล่วงหน้าว่าดิวอี้จะเป็นผู้ชนะ
แต่พอผลคะแนนจริงออกมาปรากฎว่าสัดส่วนของทรูแมนคือ 50% และดิวอี้ 45% ผลของดิวอี้เป็นไปตามโพล แต่ผลของทรูแมนสูงกว่าผลโพล เพราะแกลลัพหยุดสำรวจก่อนเลือกตั้งหลายสัปดาห์ เนื่องจากเชื่อว่าผู้ลงคะแนนคงไม่เปลี่ยนไป แต่ผลที่ออกมาไม่ได้เป็นแบบนั้น เลยทำให้ผลของโพลเพี้ยนไป
ตามหลักจรรยาบรรณทางวิชาการ ผู้ทำโพลควรบอกให้สังคมทราบว่า โอกาสที่ผลโพลจะคลาดเคลื่อนนั้นมีอยู่เท่าไหร่ หากผู้ทำโพลจะฟันธง ก็ต้องบอกให้สังคมทราบว่า เกณฑ์ที่ใช้ประกอบการฟันธงนี้มีเกณฑ์อะไรบ้าง
แต่ถ้าคิดแบบใจเขาใจเรา ผู้ทำโพลเองก็คงลำบากใจในการรายงานผลแบบนี้ เพราะอาจไม่ได้รับความสนใจจากสื่อและสังคม เลยต้องรายงานแค่ผลสำรวจ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าโพลไม่มีความสำคัญ เพียงแต่เราต้องเสพข้อมูลที่ได้ด้วยความระมัดระวัง จะได้ไม่เชื่อโพลจนไม่ลืมหูลืมตา ต้องรอดูกันว่า สุดท้ายแล้วผลการเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นแลนด์สไลด์ แลนด์ไม่สไลด์ หรือแลนด์สไลด์มากกว่าที่คิด
คอลัมน์ หน้าต่างความคิด
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์