“กองทัพ”ปะฉะดะ"การเมือง" ขั้วอำนาจใหม่ ไม่เหมือนเดิม
สถานการณ์หลังเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 ซึ่งยังไม่ชัดว่า ขั้วอำนาจเดิมจะกลับมาได้หรือไม่ ขณะที่ขั้วอำนาจใหม่กำลังมาแรงแซงโค้ง จึงได้เห็นปฏิกิริยาของใครในกองทัพ ที่ออกอาการร้อนรนอยู่ขณะนี้
เหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์ ก่อนถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไป ท่ามกลางการหาเสียงโค้งสุดท้ายของพรรคการเมือง
นอกจากจะแข่งกันนำเสนอนโยบายประชานิยม การจัดสวัสดิการต่างๆ แล้ว การต่อสู้เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน
แน่นอนว่า พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ไม่แตะเรื่องปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ตัดงบประมาณกองทัพ สวัสดิการข้าราชการ หรือเอาทหารออกจากการเมือง หรือปิดสวิตช์ ส.ว. ยกเลิก ม.112 ต่างจากขั้วตรงข้าม ที่ใช้เรื่องดังกล่าวเป็นบันไดไปสู่การเปลี่ยนแปลง ด้วยสโลแกน “ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” กับผลสำรวจโพลที่ “ขั้วตรงข้าม” นำโด่งทุกครั้งไป
"รวมไทยสร้างชาติ” พรรคที่เสนอ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพิ่งปล่อยคลิปแก้เกม “ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” หวังตัดแต้มคู่ต่อสู้ ด้วยการตั้งคำถามกับคนไทย “คุณอยากให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมจริงหรือ”
โดยเนื้อหาในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และหลายเหตุการณ์มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นจริง เช่น ข้าราชการเกษียณต้องไปขอทาน สถานที่ราชการ วัดวาอาราม แหล่งท่องเที่ยวถูกพ่นด้วยสีสเปรย์ ตลอดการจำลองเหตุการณ์ข้าศึกบุกประชิดชายแดน แต่ไม่มีทหารไปรบ เพราะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
ส่วน “กองทัพ” แม้ยังไม่ชี้ชัดว่า การเปลี่ยนแปลง หรือสงวนของเดิม อะไรมีผลดี-ผลเสียมากกว่ากัน เพราะมองว่าการหาเสียง ใครจะพูดหรือทำอะไรก็ได้ หากไม่ผิดกติกาเลือกตั้ง แต่เมื่อเข้ามาบริหารประเทศ ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ พร้อมย้ำถึงบทบาทการวางตัวเป็นกลาง พร้อมเปิดกว้างทุกพรรคเข้ามาหาเสียงอย่างเท่าเทียมกัน
ล่าสุด “กองทัพบก” เผยแพร่ข้อความประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้กำลังพลและครอบครัวออกไปใช้สิทธิ์ประชาชนชาวไทยตามระบอบประชาธิปไตย เลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 ผ่านหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ ด้วยข้อความที่ระบุว่า
“เลือกพรรคที่ชอบ พรรคที่ใช่ เลือกพรรคที่ใส่ใจในสิทธิข้าราชการ”
โดยข้อความนี้ ยังเผยแพร่ไปยังหน่วยทหารทั่วประเทศ และได้ผ่านความเห็นชอบของ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะประโยคท้ายสุดท้าย ที่อยากให้คำนึงถึงสิทธิสวัสดิการของตัวเอง
สำทับด้วย “ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2” ปล่อยคลิป ภาพการ์ตูนประกอบเพลงแรป ที่ชื่อว่า “มีทหารไว้ทำไม” ส่งมาให้ผู้สื่อข่าวโดยไม่บอกที่มาที่ไป ใครเป็นผู้จัดทำขึ้น
โดยเนื้อหาเล่าเรื่องราวการปฏิบัติหน้าที่ของทหารในสนามรบ ท่ามกลางความเป็นห่วงของครอบครัวเรื่องความปลอดภัย แต่ทหารก็ยังย้ำในหน้าที่ปกป้องชาติ และประชาชน
ในคลิปดังกล่าว ยังมีภาพการ์ตูนผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตขาวชี้นิ้ว และมีข้อความเป็นคำพูดว่า “เราไม่ต้องการทหาร กลับเข้ากรมกองไป ไร้ประโยชน์ ประเทศอื่นเขาไม่รบกันแล้ว สมัยนี้เขาใช้เรือประมงไปรบแล้ว เปลือง และกระจอก เขาไม่รบกันแล้ว รบไปก็ไม่ชนะ“ โดยมีฉากหลังเป็นทหารเดินลาดตระเวน
นอกจากนั้น ยังมีภาพการ์ตูนทหาร ในภารกิจช่วยประชาชนช่วงน้ำท่วม ตัดสลับกับการ์ตูน ชายเชิ้ตขาวคนเดิม ชี้นิ้วพร้อมคำพูดที่ว่า “กลับไป ไม่ใช่หน้าที่ทหาร อย่ามายุ่ง”
ก่อนจะเป็นคำพูดของทหารที่บอกว่า “หน้าที่ของพวกเราคือช่วยประชาชนไม่ใช่เหรอ?”
ต่อด้วยประโยคคำพูดที่ว่า “เราคงต้องอดทน อดทนเข้าไว้ ไม่ว่าใครจะเกลียดเรา วันนี้ไม่ชอบทหารก็ไม่เป็นไร แต่ทหารพร้อมช่วยเหลือประชาชนอยู่เสมอ พร้อมตบท้ายขอขอบคุณทหารไทย จนกว่าจะพบกันใหม่เมื่อประชาชนต้องการ
ย้อนไปก่อนหน้านี้ 5 วัน เพจ “กองทัพบก Royal thai Army” เพิ่งปล่อยคลิปเพลง “หนักแผ่นดิน” ขับร้องโดยกรมดุริยางค์ทหารบก ต้นตำหรับเพลงที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ใช้ตอบโต้ฝ่ายการเมือง ที่เสนอนโยบายปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ตัดงบกลาโหม ในช่วงเลือกตั้งเมื่อปี 2562
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ คลิปเพลงหนักแผ่นดิน ได้ถูกลบออกจากเพจ “กองทัพบก Royal thai Army” หลังโดนทัวร์ลงและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่าเป็นทหารแต่ไม่รู้จักหน้าที่ สมควรที่ต้องโดนปฏิรูป
ส่วนกองทัพก็แก้เกี้ยวว่า การเผยแพร่บทเพลงแนวปลุกใจทหาร เช่น เพลงมาร์ชกองทัพบก เพลงหนักแผ่นดิน เพลงความฝันอันสูงสุด ทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในช่วงเลือกตั้ง กังวลจะมีการนำไปบิดเบือน ทำเกิดความเข้าใจผิด ผู้บังคับบัญชาไม่สบายใจ จึงให้ลบออก
สำหรับ “กองทัพ” แม้จะเป็นหน่วยงานรัฐ และกลไกหนึ่งที่ตอบสนองงานของรัฐบาลในด้านต่างๆ โดยเฉพาะมิติความมั่นคง การช่วยเหลือประชาชน ส่วนรัฐบาลที่มาจากพลเรือน ก็ต้องอาศัยกองทัพเป็นมือเป็นไม้ขับเคลื่อนการทำงาน หากทั้ง 2 ส่วนวางบทบาทตัวเองในจุดที่เหมาะสมก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่หากสถานการณ์หลังเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 ซึ่งยังไม่ชัดว่า ขั้วอำนาจเดิมจะกลับมาได้หรือไม่ ขณะที่ขั้วอำนาจใหม่กำลังมาแรงแซงโค้ง จึงได้เห็นปฏิกิริยาของใครในกองทัพ ที่ออกอาการร้อนรนอยู่ขณะนี้
ดังนั้น คำพูดที่ว่า“อย่าแตะกองทัพ” จึงถือเป็นคำเตือนที่ยังใช้ได้กับรัฐบาลพลเรือนทุกยุคทุกสมัย เพราะในอดีตก็มีบทเรียนให้เห็นมาแล้ว