เลือกตั้ง 2566 ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยแน่หรือ | สิชล ยืนยัง

เลือกตั้ง 2566 ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยแน่หรือ | สิชล ยืนยัง

การเลือกตั้งปีนี้มีบรรยากาศต่างจากเมื่อ 4 ปีก่อน ทั้งในแง่ความกดดันว่าหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจแล้วเกรงจะมีการเดินขบวนตบเท้า หรือกลที่ซ่อนอยู่กับการจัดการเลือกตั้ง อย่างเช่น กติกาประหลาดของความสัมพันธ์ระหว่างบัตรใบเดียวกับส.ส.พึงมี ก็ไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

แม้ว่าสิทธิ์ของ ส.ว.ยังมีอยู่ แต่การที่ ส.ว.เองก็ไม่ได้เห็นเป็นเอกฉันท์ว่าจะหนุนฝ่ายใดในซีกรัฐบาลเก่า อีกทั้ง ฝ่ายรัฐบาลเก่าเองก็แยกเหล่าแตกกอแข่งขันท้าทายอำนาจกันเองในวิถีทางการเมืองแบบปกติ

สิ่งเหล่านี้ทำให้การหาเสียงทางการเมือง เพื่อการเลือกตั้งมีสีสันบนความสนุกและปลอดภัย  บรรยากาศแบบนี้เอื้อต่อฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่มีอะไรอยู่ในมือ นอกจากเสียงของมวลชนจริงหรือ 

หากจะพูดว่ากลุ่มหนึ่งเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย  แล้วกลุ่มที่ไม่จัดว่าเป็นกลุ่มนี้ควรจะถูกเรียกว่าเป็นฝ่ายไหน  เพราะเขาก็มีฝ่ายเหมือนกัน  ตั้งแต่ฝ่ายที่พร้อมจะจับมือกับทุกค่ายอย่างเช่นพรรคภูมิใจไทย  ไปจนถึงฝ่ายที่ร่วมหัวจมท้ายกับรัฐบาลเก่า บางทีก็เลยไปตั้งแต่ยุคก่อนเลือกตั้งปี 62  หรือถึงยุคมวลมหาประชาชนเลยด้วยซ้ำ  

พรรคเหล่านี้ก็อ้างว่านิยมในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน  จะไปเรียกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ไม่เชิง เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เอาแต่เสรีนิยม  หากจะนิยามที่ใกล้เคียงที่สุดคือฝ่ายพรรคเฉดเหลือง-น้ำเงิน  ขณะที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยเป็นเฉดแดง-ส้ม

เลือกตั้ง 2566 ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยแน่หรือ | สิชล ยืนยัง

แม้ว่าพรรคหลัก ๆ ฝ่ายเฉดเหลือง-น้ำเงิน จะพยายามยกวาทะและตัวเลขมาประโคมโหมว่า 9 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยสุขสงบ เงินทุนสำรองล้นเหลือ นานาชาติยังมีไมตรี จัดการปัญหาพิเศษอย่างเช่นโควิดได้ดี และมีการเติมเงินเข้ากระเป๋าตรงของคนมีรายได้น้อย  แต่ดูเหมือนสังคมจะไม่ค่อยซื้อแนวคิดเหล่านี้

เพราะเห็นกันอยู่ว่าคนที่ไม่ใช่เศรษฐีลำบากขนาดไหน เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ๆ   ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องไกลตัว เช่น ข่าวคาวทุจริตที่มีเยอะมาก  แค่ชาวบ้านคลำเงินในกะเป๋าแล้วไม่เจอและมองหาโอกาสต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยเห็น  ขณะที่เจ้าสัวรายเอารวยเอา  พวกเขาก็น่าจะอยากเลือกนักการเมืองจากเฉดแดง-ส้มมากกว่า ดูจากโพลล์ก็ได้

    ฝ่ายเฉดแดง-ส้มนั้นยังแข็งแกร่ง เพราะฐานมวลชนกว้างใหญ่กว่า พรรคที่สืบมรดกตรงมาจากพรรคไทยรักไทยนั้นครองเสียงข้างมากของประชาชนมาตลอดร่วม 20 ปี ส่วนหนึ่งก็เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีโครงการ 30 บาทอยู่และคนรุ่นเก่ายังจำถึงช่วงที่เศรษฐกิจดีมากเมื่อปี 2545-48 ได้  

นโยบายประชานิยมใครก็อ้างว่าจะทำได้ แต่ความน่าเชื่อถือนั้นต้องอยู่ที่คนพูดว่าเป็นใครด้วย พรรคเพื่อไทยจึงมาเป็นอันดับ 1 อย่างแน่นอน

ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังไม่สามารถฉีกตัวออกจากหลักการของพรรคที่คล้ายคลึงกับพรรค 3 ป.ได้ จึงต้องเสียมวลชนเฉดเหลือง-น้ำเงินไปให้พรรค 3 ป.ที่มีโอกาสชนะทางยุทธศาสตร์มากกว่า   พรรคก้าวไกลไม่ยอมให้ตนเองเป็นเพียงหนึ่งในพรรคน้องสายประชาธิปไตยเหมือนพรรคอื่น ที่จำนนให้กับความเป็นพี่ใหญ่สายเฉดแดง-ส้ม   พวกเขายึดครองเสียงคนรุ่นใหม่มาตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในนามพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งในปี 2562

คราวนั้นพวกเขายังเป็นพันธมิตรไม่ทับเส้นกับพรรคเพื่อไทย  แต่เน้นการเปลี่ยนแปลงสังคมในแบบที่พรรคใหญ่พรรคอื่นไม่กล้าพอ  สิ่งนี้มีส่วนที่ทำให้นโยบายของพรรคก้าวไกลต่างออกจากพรรคเพื่อไทยมากขึ้นทุกที  จนนำมาสู่การ “ดูเหมือน”จะแตกคอกันถึงขั้นไม่เผาผีของติ่งจำนวนหนึ่งของทั้งสองพรรค   

เลือกตั้ง 2566 ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยแน่หรือ | สิชล ยืนยัง

    ยังมีพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอื่นที่รู้ตัวว่าในสายธารด้านนี้เชี่ยวกรากเป็นรองพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล  พวกเขาอาจกล้าเหน็บพรรคใหญ่เพื่อดักคะแนนเสียงบ้าง แต่ไม่เคยคิดเป็นปฏิปักษ์อย่างแท้จริง  ทั้งยังแอบคิดด้วยว่า ไม่ว่าสูตรไหน หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลโดยไม่แลนด์สไลด์  พรรคอย่างเช่น เสรีรวมไทย หรือแม้แต่ไทยสร้างไทย ก็คงได้เข้าร่วมรัฐบาล

 และในความเป็นจริงแล้วพรรคก้าวไกลก็ต้องจับกับพรรคเพื่อไทยเช่นกัน  ไม่ว่าจะถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้านเหมือนกัน  หรือเป็นฝ่ายรัฐบาล  เพราะจำนวนที่นั่งของพรรคก้าวไกลในปี 66 ที่จะมากกว่าปี 62 เป็นตัวกำหนดสมการดังกล่าว  แต่นี่จะเป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่

    หากพูดถึงการได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมเฉดแดง-ส้ม  นั้นยังขอออกตัวว่าอาจจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ก็เป็นได้ เพราะตัวแปรอื่นยังมีอยู่ แม้จะไม่หนักอึ้งเช่นปี 62 แต่ก็ยังมี  

ดังนั้นชัยชนะในระยะสั้นนี้จึงอาจถูกอุบัติเหตุฉกฉวยไปก็เป็นไปได้  แต่หากมองถึงระยะยาวแล้วก็จะพบว่า แนวคิดประชาธิปไตยแบบสากลได้ปักรากฐานลึกลงไปในหมู่ประชาชนทุกที  เยาวชนรุ่นใหม่ก้าวพ้นมายาคติแบบเดิมมีจำนวนมากขึ้น  บางคนอาจสงสัยว่าอะไรปลูกฝังความคิดของพวกเขา  

คำตอบก็คือประสบการณ์ตรงที่พวกเขาเจอในรอบ 9 ปีมานี้ยังไงเล่า  ถึงหากว่าวันนี้อาจไม่ชนะ  แต่ชัยชนะของวันหน้านั้นอยู่ไม่ไกล  อนาคตของชาติก็ยังมีหวังเรืองรองตามไปด้วย.