‘กรณิศ’ยันทุ่มเททำงานด้วยใจชูไม่เคยทิ้งชาววัฒนา-คลองเตย
‘กรณิศ’ยันทุ่มเททำงานด้วยใจชูไม่เคยทิ้งชาววัฒนา-คลองเตย กลับมานั่งส.ส. ต้องสว่างทั่วพื้นที่ จัดระเบียบสายไฟเพิ่ม
นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ผู้สมัครส.ส.เขต คลองเตย-วัฒนา เบอร์1 พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ”แรงขับเคลื่อนที่อยากให้ตนทำงานต่อคือ รอยยิ้มและความสุขของพี่น้องประชาชนเวลา ปัญหาเขาถูกแก้ไขและคุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น มันทำให้จิตใจเราฟูจนล้นออกมาหรือจะเรียกว่าปิติก็ได้ มันเป็นอะไรที่เงินซื้อไม่ได้” ล่าสุดตนลงพื้นที่ชุมชนบ้านดอน เขตวัฒนา มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามากอดและร้องไห้ โดยบอกว่า ขอบคุณที่ช่วงโควิด-19 ตนได้นำอาหารมอบให้เธอกับคุณพ่อ วันนี้พ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว แต่ความช่วยเหลือที่มอบให้ในยามทุกข์นั้นยังอยู่ในความทรงจำของเธอและคุณพ่อตลอดไป ตนยอมรับว่าเมื่อเธอเข้ามาขอบคุณทั้งน้ำตา ตนก็น้ำตาใหลไปด้วยเลย ตรงนี้คือแรงผลักดันที่ทำให้ตนอาสาทำงานต่อไปในพื้นที่
โดยยอมรับว่า ช่วงโควิด-19ระบาด เป็นหนึ่งช่วงที่ท้าทายมาก เพราะเราไม่รู้จักโรคนี้มาก่อน ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่ หรือจบเช่นใด วันนั้นประชาชน ตกงาน ขาดรายได้ เจ็บป่วยติดเชื้อ และสภาพความเป็นอยู่ในชุมชนแออัดนั้น ไม่เอื้ออำนวยกับการ แยกห้องพักกันอยู่ วันนั้น หากเราเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ก็ทำได้แต่ตนไม่เคยมีความคิดนั้น ตนอาจเป็นส.ส คนเดียวในตอนนั้นก็เรียกได้ว่าไม่กลัวโรคนี้ เพราะตอนนั้นตนลงพื้นที่พบประขาชนด้วยตัวเอง ไปแจก ข้าวกล่อง ถุงยังชีพ ยารักษาโรค ส่งถังออกซิเจน ให้กับผู้ป่วยวิกฤติ เป็นเวลาเกือบปี 9 และตนใส่ชุด PPE ลงเยี่ยมพี่น้องประชาชน
รวมทั้งนำชุดตรวจ ATK ไปตรวจให้กับประชาชนเอง รวมทั้งผลักดันให้เขตวัฒนาและคลองเตยได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเขตอื่นๆ เพราะพื้นที่ชุมชนแออัดเยอะ ความเสี่ยงมีสูงมาก และยังผลักดันให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามและศูนย์พักตัวในคลองเตย รวมทั้งนำรถพยาบาลของตนเอง 3 คันรับส่ง และจัดหาเตียงให้ผู้ป่วยโควิด-19 เต็มที่ เพราะมันคือการทำงานของเรา ที่ทำงานแบบถึงลูกถึงคน ดูแลพี่น้องประชาชนทุกคนในทุกมิติ และเป็นสิ่งที่ภูมิใจในฐานะส.ส.และเพื่อนมนุษย์ นางกรณิศกล่าว
ทั้งนี้พื้นที่เขตคลองเตยและวัฒนานั้นมีความแตกต่างกัน เพราะเวลาพูดคำว่าชุมชนแออัด คนภายนอกจะมองมาที่เขตคลองเตยว่ามีที่อยู่อาศัยที่แออัด เต็มไปด้วยน้ำครำ ยาเสพติด แหล่งอิทธิพล และเป็นสถานที่ไม่ปลอดภัย แต่ต้องบอกว่าจริงๆแล้วไม่เป็นเช่นนั้น ในอดีตนั้นชุมชนคลองเตยอาจเป็นแหล่งมั่วสุมของยาเสพติดจริง แต่ในปัจจุบันสถิติได้ออกมาแล้วว่าจำนวนยาเสพติดนั้นลดลงจาก 60% เหลือเพียงไม่ถึง 10% เพราะภาครัฐและภาคประชาชนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง
นางกรณิศ กล่าวต่อว่า ตนทำงานในเขตนี้มานาน เราเข้าใจถึงปัญหาของพวกเขา จึงติดอาวุธทางปัญญาให้กับพวกเขา สนับสนุนการศึกษา สร้างอาชีพ,ช่องทางทำมาหากิน, ลานกีฬากิจกรรมต่างๆ ให้เด็กและเยาวชน ทำให้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น เราพยายามที่จะเข้าใจและต่อสู้ไปกับพวกเขามากกว่าที่จะมาปราบปรามและรุกราน จนปัญหานี้ลดลงไปมาก และยังมีอีกหลายมุมที่คนทั่วไปอาจไม่รู้เกี่ยวกับชุมชนแออัด เพราะประชาชนอยู่อาศัยในชุมชนแบบเป็นครอบครัวเดียวกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โดยมีคณะกรรมการชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการ นอกจากนั้นบางชุมชนที่เข้มแข็งมากๆก็อาจมีสหกรณ์ชุมชนและ วิสาหกิจชุมชน ดูแลอีกด้วย เช่นเพื่อนบ้านจะคอยช่วยเหลือดูแลคนชราที่อาศัยอยู่คนเดียว
สำหรับชุมชนแออัดนั้นไม่ได้อันตรายและไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ความจริงแล้วชุมชนแออัดเปรียบเสมือนกับกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจในกรุงเทพ เพราะประชาชนในชุมชนนี้มีหลากหลายอาชีพ มีแรงงานที่มีทักษะฝีมือหลากหลาย เช่น แม่ครัว พี่รปภ. นักร้องเพลงฮิปฮอป พี่วินมอเตอร์ไซค์ พนักงานออฟฟิศ ตรงนี้หากใครที่จะมาทำงานการเมืองในเขตคลองเตยและไม่เข้าใจวิถีชีวิตที่แท้จริงก็ยากที่จะช่วยเหลือประชาชนได้”
นางกรณิศ กล่าวว่า ส่วนเขตวัฒนานั้น คือพื้นที่ที่มีความแตกต่างจากเขตคลองเตย เพราะเป็นย่านธุรกิจ แหล่งบันเทิง ที่อยู่อาศัยของประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง ตรงนี้ต้องจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดินให้เรียบร้อย รวมทั้งถนนและฟุตบาทที่ควรเรียบ ไม่ขรุขระ เพื่อหน้าตาของประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชนแต่ปัญหาที่พบเสมอในเขตวัฒนาคือการทำงานกับระบบราชการไทยบางครั้งหลายหน่วยงานทำงานไม่เชื่อมต่อกัน ขาดประสิทธิภาพ ล่าช้า เช่น บางพื้นที่ในเขตวัฒนา กรุงเทพมหานครปรับพื้นที่ทางเท้าหรือถนนไว้สวยงาม แต่ 1 เดือนถัดไปการประปานครหลวงนำงบประมาณมาแก้ไขท่อประปาก็ขุดเจาะถนนและเมื่อคืนพื้นที่ก็พบว่าไม่เรียบร้อย ขรุขระ
อย่างไรก็ตามตนได้ติดตามแก้ไขเรื่องเหล่านี้ในสภาผู้แทนราษฎร และได้แจ้งหน่วยงานต่างๆว่าหากจะดำเนินการอะไรเกี่ยวกับสาธารณูปโภคในกทม.ควรประสานงานกันด้วยจะได้ดำเนินการไปพร้อมๆกัน โดยได้รับการตอบรับที่ดี และให้ขึ้นบัญชีผู้รับเหมาที่ทิ้งงานหรือทำงานไม่เรียบร้อยไว้เพื่อไม่ให้ออกมาสร้างปัญหาให้ชาวกทม.อีกต่อไป
“สิ่งหนึ่งที่ตนติดตามและช่วยแก้ไขได้ในสี่ปีที่ผ่านมา คือถนนเอกมัยและตามซอยในสุขุมวิทที่ซ่อมไม่เสร็จซักที พบพิรุธว่า มีบริษัทแห่งหนึ่ง รับงานกทม.มาเยอะๆ โดยกดราคาให้บริษัทตัวเองได้รับงานสุดท้ายก็ส่งงานไม่ทันหรือขาดคุณภาพในหลายพื้นที่ของเขตสี่ กทม. ตนนำปัญหาเหล่านี้ไปพูดในสภาผู้แทนฯ และเร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไข ตรงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ตนภูมิใจที่เป็นปากเป็นเสียงให้พี่น้องประชาชน “
นางกรณิศ กล่าวว่า การที่ตนเป็นนักการเมืองหญิงและต้องต่อสู้หาเสียงกับผู้สมัครคนอื่นๆในเขตนี้นั้นไม่ถือว่าเสียเปรียบและถือเป็นข้อดีด้วยซ้ำเพราะผู้หญิงจะทำงานละเอียดกว่าผู้ชาย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีทักษะในการเจรจา ประนีประนอม มีความอดทนแลประชาชนกล้าที่จะเข้าถึงได้ง่ายกว่าผู้ชาย เมื่อพวกเขากล้าเปิดใจพูดคุยกับตนก็จะผูกพัน เพราะตนรับฟังปัญหาของพวกเขาและช่วยเหลืออย่างจริงใจ และเวลาสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์ตัวตนของตนกับสังคม เพราะผลงานจะพิสูจน์ว่า ตนทำงานด้วยใจจริงๆ มีผลงานเป็นรูปธรรมทำงานแบบจริงใจ ตนไม่เคยทิ้งพื้นที่และไม่ได้ลงพื้นที่เฉพาะช่วงเลือกตั้ง
“ชาววัฒนาและคลองเตย สัมผัสได้ว่าเราตั้งใจทำจริงๆ สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้สิ่งที่เราเคยโดนสบประมาทนั้นกลับกลายเป็นคำชื่นชมที่ส่งมาถึงตนจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นการทำงานในพื้นที่คือเขตคลองเตยและวัฒนาคือความท้าทายและรู้จริง ดังนั้นใครที่อาสามาช่วยประชาชน ควรศึกษาและตั้งใจให้ดี ตนไม่ได้ผูกขาดเก้าอี้ในเขตนี้ แต่ขอแนะนำคนรุ่นใหม่ๆที่อาสาดูแลประชาชนว่า ควรศึกษาข้อมูลในพื้นที่ให้ถ่องแท้และตั้งใจจริงก่อนอาสามาทำงาน”นางกรณิศกล่าว