“จตุพร” ชี้ “สุชาติ” นั่ง ประธานสภาฯ “ประวิตร” ควบ “นายกฯ”
“จตุพร” ชี้ “ก้าวไกล” เสนอชื่อ “ปดิพัทธ์” ชิง “ประธานสภาฯ” ข่มความเขี้ยว “เพื่อไทย” แต่แข่งอย่างไร “สุชาติ” ได้นั่งอยู่ดี โดยมี “ประวิตร” ควบนายกฯ ตามเกมที่กำหนด ฟันธง 2พรรคจัดตั้งรัฐบาล ขัดแย้งมาเร็วขึ้น 8 พรรคไปกันยาก
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อนเมื่อวานนี้(29 มิ.ย.) ตอน “เบี้ยว ดื้อดื้อ!!” ระบุว่า พรรคเพื่อไทย มีพฤติกรรมไม่ต่างกับสำนวนอีสาน “บักสีหาเหตุ” ก่อเรื่องตำหนิก้าวไกลได้ทุกกรณี ทั้งที่เพื่อไทยผิดข้อตกลงตำแหน่งประธานสภาฯ กลับคำพูด ยังหาเรื่องกล่าวหาก้าวไกลไร้มารยาท ขาดจิตสำนึกพรรคอันดับหนึ่งโดยเมื่อพรรคเพื่อไทยมีมติเมื่อ 27 มิ.ย. กลับหลังหันในตำแหน่งประธานสภาฯแล้ว พรรคก้าวไกล ส่งสัญญาณเลื่อนประชุมกับพรรคเพื่อไทยมาเป็นวันที่ 2 ก.ค.นี้ และเสนอนายสัตวแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือ “หมออ๋อง” มาเป็นประธานสภาฯ แสดงถึงการข่มความเขี้ยวพวกสัตว์ เสือสิงห์ กระทิง แรด ในพรรคอันดับสอง ที่พยายามแย่งชิงทำตัวอยู่เหนือก้าวไกลพรรคอันดับหนึ่งดังนั้นการเสนอ “หมออ๋อง” มาเป็นประธานสภาฯ ถือว่าถูกต้องแล้วและสะท้อนความแสบไม่ใช่เล่นทีเดียว ส่วนนายอดิศร เพียงเกษ กล่าวหาพรรคก้าวไกล ไม่มีมารยาทที่เสนอ “หมออ๋อง” ส.ส.พิษณุโลก มาเป็นประธานสภาฯ นายจตุพร ชี้ว่า เพื่อไทยพรรคอันดับสองกลับคำพูดเปลี่ยนคำสัญญาเดิมที่เสนอให้ก้าวไกลได้ประธานสภาฯ ส่วนเพื่อไทยเอา 2 รองประธานสภาฯแล้วมาเปลี่ยนจะเอาประธานสภาฯ ยังบังอาจกล้าตำหนิก้าวไกลไม่มีมารยาท จึงเป็นการพูดเลอะเทอะต้องไปให้ “หมออ๋อง” รักษาสมองอย่างยิ่ง
เมื่อพรรคก้าวไกลเสนอ “หมออ๋อง” มาแข่งเป็นประธานสภาฯแล้ว พรรคเพื่อไทยควรเสนอชื่อมาแข่งบ้างเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบ อีกทั้งพรรคฝ่าย 188 เสียงหรือ พลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอ นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาแข่งสมทบเป็นตัวเลือกก็ได้ ให้สภาผู้แทนราษฎร 500 เสียง ลงมติเลือกจะเอาใครใน 3 คนนี้เป็นประธานสภาฯ ถ้าจะหลีกเลี่ยงให้ประชาชนประณามแล้ว เมื่อก้าวไกลเสนอประธานสภาฯ เพื่อไทยก็ควรเสนออีกคนหนึ่ง แล้วพรรคอื่นมาเสนอนายสุชาติ แข่งกัน 3 คน ส่วนก้าวไกลจะได้เสียง 151 บวกกับพรรคเล็กพรรคน้อย เพื่อไทยก็ 141 เสียง อีกซีกหนึ่งได้ 188 เสียง ดังนั้น สูตรนี้นาย “สุชาติ เป็นประธานสภาฯหรือสูตรเพื่อไทยเสนอนายสุชาติ ก็เข้า ไม่ว่าคิดวิธีสูตรแปลกอย่างไรก็ตาม นายสุชาติก็เป็นประธานสภาฯอยู่ดี
หากเพื่อไทยจะเสนอแข่งฟรีโหวตตำแหน่งประธานสภาฯกับก้าวไกล เพื่อให้เกิดปัญหาลามไปถึงการโหวตเลือกนายกฯ อย่างไรก็ตาม ทุกทางเลือกในการแข่งขันนั้น ผลลัพธ์ออกมาก็ได้นายสุชาติ เป็นประธานสภาฯ แล้วต่อไป พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้า พปชร. ได้เป็นนายกฯตามแบบการเมืองที่กำหนดเกมไว้
อีกทั้งเสนอการแบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรี (รมต.) ว่า เพื่อไทยของประธานสภาฯ โดยขอแลกรัฐมนตรีบวกนายกฯ ให้ก้าวไกลในอัตรา 15+1 นั้น ในความจริงแล้ว รัฐมนตรีทั้ง 35 ตำแหน่งกับ 1 นายกฯ ล้วนเป็นตำแหน่งทิพย์ที่ไม่เป็นจริงมาตั้งแต่ต้น แต่ขณะนี้มีเพียงตำแหน่งประธานสภาฯ ที่เป็นจริงเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าก้าวไกลเสนอกับเพื่อไทยบ้าง โดยแลกตำแหน่งประธานสภาฯ คือ แบ่ง รัฐมนตรี35+1 ให้เพื่อไทยไปเลย โดยก้าวไกลเอาแต่ประธานสภาฯ อย่างเดียวจะว่าอย่างใด เพราะเพื่อไทยเสนอสูตร 15+1 กับ 13+1 ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น เนื่องจากสิ่งที่เสนอมานั้น มันไม่เป็นจริง
เชื่อว่าถึงที่สุดแล้ว ความขัดแย้งระหว่างเพื่อไทยกับก้าวไกลจะมาเร็วขึ้น ซึ่งดีกว่าความลับไปแตกในวันเลือกประธานสภาฯ แม้มีเสียงบางคนของเพื่อไทยให้พรรคเปิดชื่อคนชิงประธานสภาฯออกมาเลย แต่ถ้าเพื่อไทยไม่เปิดชื่อนาย“สุชาติ” ถึงที่สุดผลลัพธ์ออกมาก็จะเป็นนายสุชาติได้ตำแหน่งประธานสภาฯ อย่างไรก็ตาม มีทางเดียวที่นายสุชาติจะไม่ได้เป็นประธานสภาฯคือเพื่อไทยต้องหันกลับไปที่ข้อตกลงเดิมคือ มอบประธานสภาฯเป็นของก้าวไกลเท่านั้น
เพื่อไทยทำตัวเองกลับไปกลับมา เป็นการหาเรื่องก้าวไกล ทำตัวเป็นหมาป่าหาเรื่องกับลูกแกะกวนน้ำขุ่นอยู่เรื่อย ดังนั้น ผมเตือนอีกครั้งว่า การสร้างเรื่องขัดแย้งนั้น ไม่รู้ว่าจะลุกลามไปขนาดไหนในวันเลือกประธานสภาฯ และต่อเนื่องถึงวันเลือกนายกฯ หรือไม่ เพราะยากที่จะคาดการณ์ได้
นายจตุพร กล่าวต่อ เมื่อความขัดแย้งลุกลามถึงขั้นมวลชนลงถนนแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกซ้อนให้ขยายผลรุนแรงถึงขั้นต่อต้าน ม.112 เมื่อมวลชนมาสมทบ จะกลายเป็นการเผชิญหน้าความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมไทยอีกหรือไม่
เราพยายามเตือนสติ พรรคการเมือง (เพื่อไทย) อย่ามาเหลี่ยมกับประชาชน ช่างกล้าพูดออกมาได้ พรรคที่สองตำหนิพรรคที่หนึ่งว่า ไม่มีมารยาท ขาดจิตสำนึก ซึ่งทางการเมืองแบบนี้ถือว่าหาเรื่องกัน ถ้าเป็นคำพูดอีสานเรียกว่า “บักสีหาเหตุ” คือ คนหาเหตุตำหนิไปได้ทุกเรื่อง
พร้อมกล่าวต่อ นับจากนี้ไป 29 มิ.ย.66 อีก 5 วันจะถึงวันเลือกประธานสภาฯ ซึ่งที่สุดแล้ว MOU 8 พรรคคงไปกันยากลำบาก เพราะเป็นเรื่องไม่จริง แต่จับมือลงนามกันเป็นไปตามกระแสสังคมเท่านั้น แล้วต่อมาก็หาเรื่องเลิกรากัน เอาเรื่องที่ไม่เป็นประเด็นก็กลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมาได้ นักการเมืองมักกล้าทำให้สิ่งที่มนุษย์ไม่กล้าทำเสมอ และสิ่งที่ทำนั้นก็ล้วนมีผลกระทบมากมาย พวกนี้ไม่สนใจเพราะเจ้าของพรรคจะเอาแบบนี้ เมื่อต้องการซ้ายก็เอาซ้าย รุ่งขึ้นเปลี่ยนมาเอาขวาก็เอาขวาอีก ดังนั้น คนไม่มีอำนาจในพรรคต้องมาแต่งเรื่องใหม่อีก เพื่อหนีความสับปลับที่เกิดก่อนหน้านี้ให้ได้ ดังนั้น ในสถานการณ์ข้างหน้าไม่ใช่เรื่องสีใดสีหนึ่ง เพราะข้างหน้าเป็นเรื่องของประเทศ ของบ้านเมือง ของชาติไทย จึงให้ทุกส่วนมาร่วมมือกัน สลัดความรู้สึกส่วนตัวออก เอาชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง มาจับมือกันเป็นทีมชาติไทยภาคประชาชนเพื่อทำภารกิจของประชาชน เพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทย