เปิดประวัติ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล’ ฉายา‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’ชีวิตรุ่งยุคคสช.

เปิดประวัติ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล’ ฉายา‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’ชีวิตรุ่งยุคคสช.

ด้วยคุณลักษณะพิเศษที่สามารถทำงานกับฝ่ายการเมืองได้ทุกพวก จึงได้สมญานาม “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” อยู่ใกล้ใคร ใครก็รัก และให้ความเมตตา บวกกับผลงานที่เข้าตากรรมการ จึงได้เป็นน้องรัก “พล.อ.ประวิตร” ซึ่งขณะนั้นคุมตำรวจทั้งประเทศ

จากปม ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังตำรวจคอมมานโด เข้าตรวจค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายในหมู่บ้านหลังหนึ่ง ย่านวิภาวดี กทม. หลังพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงว่ามีการส่วนเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ ชื่อของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” อยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศ

สำหรับ “ประวัติพล.ต.อ.สุรเชษฐ์” จบนตท.รุ่นที่ 31 นรต.รุ่นที่ 47 รับราชการติดยศ “ร.ต.ต.” เป็นรองสารวัตร ตั้งแต่ 1 ก.พ. 2537 โดยเป็นรองสารวัตรได้ 6 ปี 1 เดือน ได้ขึ้นเป็นสารวัตร และเป็นสารวัตรได้ 4 ปี 8 เดือน ขยับเป็นรองผู้กำกับการ เป็นรองผู้กำกับการอยู่ 4 ปี 

จากนั้นขยับเป็นผู้กำกับการ ติดยศ “พ.ต.อ.” ได้เป็น ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จ.สงขลา โรงพักเกรดเอ โดยขณะนั้น พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9

จากนั้นเป็นผู้กำกับการอยู่ได้ 4 ปี 1เดือน จึงขยับเป็นรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ได้เป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา และยังเป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.สงขลา ส่วนหน้า ดูแลพื้นที่ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา จ.สงขลา 4 อำเภอพื้นที่สีแดงในพื้นที่ต่อเนื่องจังหวัดชายแดนใต้

โดยการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เขาได้รับสิทธินับอายุราชการแบบทวีคูณ แม้อายุยังน้อยแต่อายุงานเพิ่มความอาวุโส ทำให้ก้าวขึ้นเป็น “พล.ต.ต.” ขณะอายุไม่ถึง 45 ปี
 

นับตั้งแต่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการประจำสำนักงาน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั่งเป็นเบอร์หนึ่งปทุมวัน เมื่อ 23 ก.ค. 2558 ทำหน้าที่ประสานงานกับนายกรัฐมนตรี และสายตรง  พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำกับดูแล สตช.ในขณะนั้น

หลังจากนั้นเพียง2เดือนกว่าๆขยับขึ้นเป็น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว เมื่อ 30 ต.ค. 2558 และช่วย “พล.อ.ประวิตร” ปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ , ทัวร์ศูนย์เหรียญและปัญหาหนี้ระบบ

ด้วยคุณลักษณะพิเศษที่สามารถทำงานกับฝ่ายการเมืองได้ทุกพวก ทุกกลุ่มตามสมญานาม “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” อยู่ใกล้ใคร ใครก็รักและให้ความเมตตา บวกกับผลงานที่เข้าตากรรมการ จึงได้เป็นน้องรัก “พล.อ.ประวิตร” อีกคน

“โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” กลายเป็นเงาตามตัว “พล.อ.ประวิตร” ที่คอยติดตามลงพื้นที่ไปปฏิบัติงานทุกหนทุกแห่ง ควบคู่ไปกับการเติบโตในหน้าที่การงานแบบปีต่อปี โดย 1 ต.ค. 2559 ได้ขยับเป็นผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
 

วันที่ 6 ก.ย. 2560 เขาเข้ามาทำหน้าที่รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จนได้เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในวันที่ 1 ต.ค. 2560 และ  1 ต.ค. พ.ศ. 2561 ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น "พลตำรวจโท" จนถูกแต่งตั้งเป็น ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นผู้บัญชาการที่อายุน้อยในวัยเพียง 48 ปี

เส้นทางเติบโตมาสะดุดหลัง “พล.อ.ประยุทธ์” มีคำสั่งโอนให้ไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิมใน สตช. เมื่อ 9 เม.ย.2562 

โดย “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่เคยเอ่ยถึงสาเหตุที่แท้จริงของคำสั่งฟ้าฝ่าครั้งนี้ ในขณะ “พล.อ.ประวิตร” ก็เหมือนน้ำท่วมปาก เพราะนอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ได้แล้ว ยังหลุดจากเก้าอี้รมว.กลาโหม และ การกำกับดูแล สตช. ในช่วงปรับ ครม. กลางเดือน ก.ค. 2562

โอกาสจะกลับเข้ามาใน สตช.ของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ที่มืดมนอยู่แล้วหลัง “พล.อ.ประยุทธ์” เข้ามากำกับดูแล สตช.กลับยิ่งมืดมิดลงไปอีกเมื่อไปเปิดศึกกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ต่อกรณีถูกลอบยิงรถหรู 

กลายเป็นสาเหตุทำให้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ออกมาเปิดเผยข้อมูลความไม่ชอบมาพากล ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจสอบและพิสูจน์อัตลักษณ์ (ไบโอแมทริกซ์) และโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) 

จน “พล.อ.ประยุทธ์” ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ให้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในกรอบอัตรากำลัง ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งออกคำสั่ง ให้รักษาจรรยาบรรณ ไม่ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ข้ามหัวผู้บังคับบัญชา

ข่าวคราว “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เงียบหายไปช่วงหนึ่งก่อนปรากฎภาพ อุปสมบท เพื่อทดแทนบุญคุณ บิดา มารดา ที่วัดไทยในพุทธคยา ประเทศอินเดียเมื่อต้นปี 2563 ท่ามกลางกระแสข่าวหวนคืน สตช.เป็นระยะ

ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำ สบน. โดยรับผิดชอบข้อเสนอแนะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการร้องทุกข์จากประชาชน ควบคู่ไปกับยื่นฟ้อง “พล.อ.ประยุทธ์” ต่อศาลปกครอง กรณีออกคำสั่งย้ายโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนถูกศาลตีตกไม่รับคำฟ้อง

จากคำสั่งฟ้าผ่าโอน “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ออกจาก สตช. เมื่อ  9 เม.ย.2562 สู่ข่าวดี ในวันที่ 9 มี.ค.2564 หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามในคำสั่งให้ให้กลับมาดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากนั้น “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” กลับมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสบ 9 จากนั้นขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร. และรองผบ. ตร. ซึ่งขณะนี้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ถือเป็นอาวุโสลำดับสอง มีโอกาสดำรงตำแหน่งผบ.ตร. แต่เมื่อเกิดปมบุกค้นบ้าน ชีวิตข้าราชการตำรวจของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” อาจจะพลิกผันอีกครั้ง