'กรณ์' ติง 'พท.' คิดให้รอบคอบ หวั่นนโยบายแจกเงิน ฉุด 'ศก.' เสียหาย

'กรณ์' ติง 'พท.' คิดให้รอบคอบ หวั่นนโยบายแจกเงิน ฉุด 'ศก.' เสียหาย

"กรณ์" แนะ "พรรคเพื่อไทย" คิดให้รอบคอบ ก่อนเดินหน้านโยบายแจกเงิน หวั่นฉุดเศรษฐกิจไทยเสียหาย แนะปรับแนวทางแก้หนี้-ปฏิรูปเศรษฐกิจเหมาะกว่า

นายกรณ์ จาติกวณิช สมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค เพื่อแสดงความเห็นต่อนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ว่าตนแสดงความเห็นตั้งแต่ชั้นดีเบตช่วงเลือกตั้งว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะกังวลว่าจะเป็นผลเสียหายหากทำไม่ละเอียดหรือหวังผลทางการเมืองมากเกินไป ทั้งนี้ ตนมองว่าพรรคเพื่อไทยสามารถปรับแนวคิดเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อช่วยภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปในการเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ด้านสังคมสูงอายุ และด้านพลังงานหมุนเวียนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรีบกู้เงิน ควรเก็บไว้เมื่อจำเป็น

 

“ส่วนตัวผมเชียร์ให้นายเศรษฐาประสบความสำเร็จเพราะ ผมรู้จักกับพี่นิดมานมนานตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซึ่งตลอดช่วงที่เราอยู่คนละขั้วทางการเมืองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ความเห็นค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัลของผมนั้นไม่มีประเด็นการเมืองเกี่ยวข้อง ดังนั้นการดำเนินโครงการดังกล่าวควรตระหนักถึงการสร้างความเสียหายได้ หากคิดไม่ละเอียดหรือหวังผลทางการเมืองมากกกว่าการพัฒนาและเป็นแนวนโยบายที่เป็นอันตรายต่ออนาคตของเศรษฐกิจอย่างมาก” นายกรณ์​ระบุ

นายกรณ์​ ระบุด้วยว่า รัฐบาลปัจจุบันมีความมั่นคง เพราะไม่มีแรงเสียดทานใดๆ หากใช้ทุนทางการเมืองในทางที่บ้านเมืองได้ประโยชน์ ความกังขาในที่มาของรัฐบาลจะถูกมองข้าม และตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่พร้อมยอมรับทุกรัฐบาลที่สร้างประโยชน์ให้กับเขา ซึ่งทุกรัฐบาลมีตำนานมีมรดก ซึ่งขึ้นอยู่กับนายกฯว่าจะทำให้คนจำรัฐบาลอย่างไร

ทั้งนี้นายกรณ์ ยังกล่าวถึงความเห็นของนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินด้วยว่าตนตามอ่านเหตุผลของกลุ่มนักวิชาการที่กังวล และสะดุดที่ตัวเลขรายได้ของรัฐ เมื่อเทียบกับจีดีพี ที่ต่ำเกินจริงที่ 13.7% โดยตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่ารัฐมีกำลังทางการคลังมากน้อยแค่ไหนในการดูแลประชาชนและพัฒนาบ้านเมือง โดยเมื่อตรวจสสอบกับตัวเลขของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ พบว่าตัวเลขของกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ถูกต้องแล้ว

 

“คือ รายได้รัฐปี 2566 อยู่ที่ 2.49 ล้านล้านบาท เทียบกับ GDP ที่ 18.17 ล้านล้านบาท เท่ากับ 13.7% จริงๆ เป็นเทรนด์ที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะลดลงมาทุกปี จากสมัย 10 ปีก่อนที่ 16-17%และน่ากังวลเพราะที่ผ่านมารัฐบาลกู้เยอะมาก แต่กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนี้เรายิ่งต้องระวังกับการกู้มาแจก และ ฐานะทางการคลังเรากำลังแย่ลง ในช่วงที่รัฐกำลังมีภาระมากขึ้นเรื่อยๆจากการต้องดูแลผู้สูงอายุ เอามาใช้พรํ่าเพรื่อไม่ได้เลย” นายกรณ์​ระบุ