'พิธา' แจงปมประสานสถานทูตอิสราเอลแค่ชั่วคราว ไม่มีเจตนาสร้างความสับสน

'พิธา' แจงปมประสานสถานทูตอิสราเอลแค่ชั่วคราว ไม่มีเจตนาสร้างความสับสน

'พิธา' ชี้แจงปมประสานงานสถานทูตอิสราเอลช่วยเหลือคนไทย ยันแค่ชั่วคราว ไม่มีเจตนาสร้างความสับสน ชง 4 ข้อถึงรัฐบาล ช่วยแรงงานอพยพกลับไทย

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2566 เวลา 15.19 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่เกิดเหตุปะทะรุนแรงในอิสราเอลตั้งแต่ วันที่ 7 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ว่า ได้ประชาสัมพันธ์อีเมล์สำหรับญาติ เพื่อช่วยรวบรวมส่งข้อมูลประสานงานเฉพาะหน้ากับทางการไทย และอิสราเอล เพื่อดูแลความปลอดภัย โดยประสานส่งข้อมูลกับทางการไทยทันทีหลังเปิดรับอีเมล์ตั้งแต่คืนวันที่ 7 ต.ค.แล้ว และส่งข้อมูลให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเทลอาวีฟ โดยในวันนี้จะส่งอีเมล์เพิ่มเติมไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงแรงงาน ข้อมูลทั้งหมดเป็นตารางแบบออนไลน์ แยกชื่อ อีเมล์ หลักฐานระบุตัวตน และเบอร์โทรของญาติสำหรับติดต่อกลับ อัปเดตข้อมูลในตารางแบบ Realtime ทันที่ทีมงานเปิดอ่านข้อความอีเมล์ และนำข้อมูลมากรอกในตาราง เฉลี่ยไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับอีเมล์ จนถึงเวลา 12.00 น. วันนี้ได้รวบรวมแล้วทั้งสิ้น 228 กรณี แบ่งได้ดังต่อไปนี้ คนไทยที่เชื่อได้ว่าถูกจับเป็นตัวประกัน 9 กรณี คนไทยอยู่ในเขตสู้รบ ต้องการความช่วยเหลือ 72 กรณี  กรณีที่ญาติติดต่อไม่ได้ และไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน 140 กรณี คนไทยอยู่นอกเขตสู้รบ 7 กรณี 

นายพิธา ระบุว่า ทั้งหมดนี้ ทำไปเพื่อช่วยเป็นสื่อกลางในการประสาน "ชั่วคราว" เพราะในช่วงแรกที่เกิดเหตุ คนไทยในอิสราเอลอาจไม่ได้รับทราบช่องทางการติดต่อสื่อสาร และได้ติดต่อมาทางพรรค นายสุเทพ อู่อ้น สส.บัญชีรายชื่อ และผมเป็นจำนวนมาก หลากหลายช่องทาง เนื่องจากนายสุเทพ ได้เคยประสานช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอลต่อเนื่องมาตั้งแต่ความขัดแย้งครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ค. 2021 หรือ 2 ปีที่แล้ว บัดนี้ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน ได้จัดช่องทางการสื่อสารกับแรงงานไทยในอิสราเอลเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้การติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างคนไทยในอิสราเอลกับทางการไทยจะดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผมยินดีสนับสนุนภารกิจของรัฐบาล และไม่มีเจตนาจะสร้างความสับสนในภาวะแบบนี้แต่อย่างใด

นายพิธา ระบุอีกว่า สำหรับกรณีที่ทางการไทยได้เปิดให้คนไทยในอิสราเอลสามารถลงทะเบียนแสดงความจำนงต้องการอพยพกลับประเทศไทยนั้น ผมได้หารือกับทาง นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี และเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน พรรคก.กโดยมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ดังนี้

1. คนงานต้องได้รับสิทธิประโยชน์จาก กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ที่คนงานจ่ายสมทบก่อนเดินทางไปทำงาน กรณีต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนเนื่องจากประสบปัญหาจาก ภัยสงคราม คนละ 15,000 บาท ตามระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. 2549

2. เนื่องจากมีคนงานที่ยังคงมีหนี้สินจากการกู้ยืมเงินเพื่อให้ได้เดินทางไปทำงานที่อิสราเอลยังคงกังวลที่จะเดินทางกลับไทยหรืออพยพไปที่ปลอดภัยอื่น เพราะอาจทำให้สัญญาจ้างงานสิ้นสุดลงได้ ทำให้ตกงานแต่ยังมีหนี้สินที่ไปกูยืมมาก่อนเพื่อมาทำงาน ดังนั้นจึงเสนอให้รัฐบาลต้องเจรจาวางเงื่อนไขการอพยพคนงานไทยที่ไปทำงานผ่าน โครงการความร่วมมือไทย - อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand - Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) หรือโครงการความร่วมมืออื่นๆ หากสงครามยุติลงให้คนงานที่ถูกอพยพในสภาวะสงครามสามารถกลับไปทำงานได้ตามเดิม

3. เสนอให้รัฐบาลเจรจาผ่อนผันหรือดูแลแนะนำประเด็นหนี้สินของคนงาน

4. กรณีคนงานไทยที่เข้าไปทำงานโดยไม่ผ่านกระทรวงแรงงาน หรือคนงานที่ลักลอบทำงานอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายเสนอให้รัฐบาลดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน และหากคนงานประเภทนี้ต้องการกลับขอให้รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายและอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับประเทศ

"สุดท้ายนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้แสดงความเสียใจต่อผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมขอยืนเคียงข้างและช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบเหตุเดือดร้อน และผมขอสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลไทยในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยให้ปลอดภัยด้วยครับ" นายพิธา ระบุ

ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์