'สุทิน'ลุยศรีสะเกษหวังเปิดด่านการค้าชายแดนเขาพระวิหาร
"สุทิน" ลุย ศรีสะเกษ หวังเปิดด่านการค้า"ไทย-กัมพูชา" โดยเฉพาะชายแดนพระวิหาร เชื่อไม่นานเกินรอ เผยหน่วยทหารในพื้นที่ของบทำถนน-ประปา
16 ธ.ค.2566 นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ รับฟังบรรยายสรุปการปฎิบัติงานของกองกำลังสุรนารี รับฟังบรรยายสรุปภูมิประเทศพื้นที่ผามออีแดง และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น พร้อมเปิดอนุสรณ์สถานพิทักษ์ไทย
นายสุทินกล่าวว่าการลงพื้นที่วันนี้มาอยู่มาดูความเป็นอยู่ที่แท้จริงของทหารหน้างานที่เป็นหน่วยรบอยู่ชายแดน ได้เห็นได้เข้าใจหลายเรื่องและเห็นปัญหาความจำเป็นของทหารว่าต้องการอะไรเท่าที่ฟังได้คือมีปัญหาเรื่องถนนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งมี 5-6 สายที่ชำรุด และขาดน้ำประปา ซึ่งปัจจุบันต้องใช้รถขนน้ำขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทั้งนี้การทำน้ำประปาใช้งบไม่เยอะและคิดว่าอยู่ในวิสัยทัศน์ที่ต้องสนับสนุน โดยทางหน่วยเสนอเรื่องขึ้นมาตามลำดับขั้นตอน วงเงิน 18 ล้านบาท
นายสุทิน ยังกล่าวอีกว่า จากการไปเยือน กัมพูชาได้นำข้อหารือมามอบนโยบายแล้วในระดับสูง วันนี้ตามมาดูการปฏิบัติ ก็เป็นที่มั่นใจว่าหน่วยได้ถือปฏิบัติตามนโยบายที่ดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนและสังคม ที่พบชัดเจนคือฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และภาคธุรกิจ รวมถึงประชาชน ที่อยากให้การค้าชายแดนกลับมาเฟื่องฟู โดยเฉพาะการเปิดด่านถาวรหลายจุด ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจ 2 ประเทศกลับมาคึกคัก ที่ชัดเจนคือเรื่องของพระวิหาร ที่ประชาชนและฝ่ายการเมืองในพื้นที่รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงเห็นตรงกันว่าอยากให้รัฐบาลผลักดันให้มีการเปิดชายแดนพระวิหาร
ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ในมุมของตนที่เป็นรัฐมนตรี ก็มาแลกเปลี่ยนกับฝ่ายความมั่นคง ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ทำได้และอยากให้ทำ แต่ต้องอยู่ในกรอบของความมั่นคง คำนึงถึงบทเรียนในอดีตว่าเคยมีปัญหาแทรกซ้อนที่คาดไม่ถึง จะทำให้เป็นอุปสรรค ก็ต้องช่วยกันเคลียร์อุปสรรคเหล่านี้ก่อน ก็ถ้าเคลียร์อุปสรรคได้ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจของทั้ง 2 ประเทศ เชื่อว่าจะมีข่าวดีในไม่นาน และจะนำเรียนนายกรัฐมนตรีต่อไป
เมื่อถามว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และอดีตนายกฯ ฮุนเซน ของกัมพูชา มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จะมีส่วนช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ ให้ทุกอย่างง่ายขึ้นหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ก็เป็นส่วนหนึ่งและมีอีกหลายระดับ ซึ่งก็เชื่อว่าอดีตผู้นำของ 2 ประเทศ จะมีความผูกพันธ์ที่ดี และเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศนี้ต้องเป็นสันติสุข ทั้งนี้ในหลายระดับลงมาก็เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ที่ดี ระดับรัฐบาลปัจจุบันก็มีความสัมพันธ์ที่ดี รัฐมนตรีกลาโหมเองก็คุยเข้าใจกันดี นักธุรกิจสองประเทศก็คุยกันได้ ทหารในพื้นที่ก็คุยกันได้ สิ่งเหล่านี้เป็นกลไกที่ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าได้ทั้งหมด ซึ่งเรื่องเปิดด่านคิดว่าไม่น่าจะนาน เพราะ สส. ทั้ง 7 คนของ จ.ศรีสะเกษ ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยประมวลความเห็นจากฝ่ายต่างๆ และยังมีการนำเรื่องเข้าคณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรด้วย ก็เชื่อว่าจะดำเนินการได้ไม่นาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็คิดและผลักดันเรื่องนี้เช่นกัน สรุปก็คือเป็นไปตามนโยบายสันติสุข ที่ฝ่ายไทยเห็นตรงกันกับทางกัมพูชา และชายแดนสองฝั่งต้องเป็นพื้นที่สันติสุข แต่เราทำข้างเดียวไม่ได้ แม้ฝั่งไทยมีความพร้อม แต่ก็ต้องดูฝั่งกัมพูชาเช่นกัน