ป.ป.ช.ชงข้อเสนอถึง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ชี้แจกเงินดิจิทัลไม่ตรงปก-เสี่ยงขัด กม.

ป.ป.ช.ชงข้อเสนอถึง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ชี้แจกเงินดิจิทัลไม่ตรงปก-เสี่ยงขัด กม.

เปิดข้อเสนอแนะ ป.ป.ช.ชง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ปมแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ชี้ก่อนเลือกตั้ง-ตอนแถลงนโยบายต่อสภาฯแตกต่างกัน ทำให้ไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้ แถมสภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤติ ส่อสุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน ไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัลแล้ว

โดยสาระสำคัญของข้อเสนอแนะ ป.ป.ช. จากข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลดังกล่าวพบว่า มีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาหลายประเด็นด้วยกัน เช่น ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย กรณีพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายตอนหาเสียงว่าจะแจกเงินให้แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน คนละ 10,000 บาท จำนวน 56 ล้านคน เป็นเงิน 5.6 แสนล้านบาท โดยแสดงแหล่งที่มาจาก กกต.ว่ามาจาก 4 แหล่ง โดยการบริหารงบประมาณ ไม่ได้มาจากการกู้เงินแต่อย่างใด ซึ่ง กกต.ชี้แจงว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวโดยนำเงินจากงบประมาณ สามารถกระทำได้ แต่ต่อมาเมื่อจัดตั้งรัฐบาลในคราวแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เงื่อนไขในการแจกเงินเปลี่ยนไป โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 1 หมื่นบาทให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปที่รายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน มีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยคาดว่ามีผู้ได้รับสิทธิ 50 ล้านคน แหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนไป โดยการออก พ.ร.บ.กู้เงินฯ 5 แสนล้านบาท อ้างเหตุวิกฤติเศรษฐกิจเพื่อการออก พ.ร.บ.เงินกู้ฯ

เห็นได้ว่าการเสนอนโยบายช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มีความแตกต่างและจนถึงบัดนี้การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวไม่มีความชัดเจน หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการยังไม่ปรากฏว่าเป็นหน่วยงานใด เป็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เป็นการหาเสียงที่ไม่มีความพร้อม ไม่ได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และกฎหมายว่า นโยบายดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร

จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นการดำเนินนโยบายที่ไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้ และอาจเป็นกรณีตัวอย่างของการหาเสียง ที่มีลักษณะสัญญาว่าจะให้ อาจขัด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มาตรา 73 (1) หรือมาตรา 136 วรรคหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงกรณีความเสี่ยงต่อผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดของโครงการ ที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และการกำหนดเงื่อนไขในการขึ้นเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อาจจะมีความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องศึกษา วิเคราะห์ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง หรือบุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมกับต้องมีขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนให้โครงการฯ สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง

ป.ป.ช.ชงข้อเสนอถึง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ชี้แจกเงินดิจิทัลไม่ตรงปก-เสี่ยงขัด กม.

นอกจากนี้ยังมีประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ที่เห็นว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล จะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและมีความจำเป็นเพียงใด ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชน ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤติ ตามนิยามวิกฤติเศรษฐกิจของธนาคารโลก การจัดลำดับความสำคัญ รวมถึงการพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงอาจเป็นทางเลือกที่จะไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า

ขณะเดียวกันมีประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมาย เพราะการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 71 และ 75 นอกจากนี้ยังต้องรักษามาตรฐานด้านวินัยการเงินการคลัง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 ด้วย ขณะเดียวกันการกู้เงินนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ มีการบัญญัติไว้ตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561

ทั้งนี้จากข้อมูลประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ได้ผลสรุปชัดเจนแล้วว่าสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เข้าข่ายวิกฤติ และยังไม่เห็นสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 จะขยายตัวร้อยละ 2.5 ในระยะปานกลาง ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ในปี 2567 และ 2568 มีแนวโน้มขยายตัวสมดุลมากขึ้น โดยคาดว่าปี 2568 กรณีไม่รวมโครงการ ขยายตัวร้อยละ 3.1 กรณีรวมโครงการขยายตัวร้อยละ 2.8 ประกอบกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียว จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และต่อเนื่องที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไข ดังนั้นหากรัฐบาลจะดำเนินการตรา พ.ร.บ.กู้เงินฯ 5 แสนล้านบาท เพื่อมาดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงควรได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นจะมีความเสี่ยงที่จะผิดเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และดำเนินการภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เป็นการขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมาย