การบริหารเศรษฐกิจแบบเพี้ยนๆ ของรัฐบาลเศรษฐา | สมหมาย ภาษี
ผ่านไปแล้ว 6 เดือน สำหรับการบริหารประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” 6 เดือนที่ยังไม่มีสิ่งดีใดๆ เป็นรูปธรรมให้เห็นในเรื่องเศรษฐกิจ ตรงกันข้าม กลับได้ยินแต่คนในรัฐบาลพูดย้ำว่าประเทศยังตกอยู่ในภาวะวิกฤติอยู่ร่ำไป
คนไทยโดยทั่วไปทั้งที่สนใจและรู้เรื่องภาวะบ้านเมือง และทั้งที่ยังดิ้นรนในการหาเงินมาเลี้ยงตัวและครอบครัวไม่พอ แถมยังต้องทุรนทุรายกับหนี้ครัวเรือนที่สูงจะท่วมตัว ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเหล่านั้นต่างก็ไม่สามารถบอกตัวเองและสมาชิกในครอบครัวได้ว่า จะได้อะไรจากรัฐบาลมาทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นมาได้ มันช่างน่าหดหู่เป็นอันมาก
แต่เมื่อดูให้ชัดๆ ว่ารัฐบาลนี้เขากำลังทำอะไรให้กับประชาชนคนไทยกันบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ ก็จะพบว่ามีแต่เรื่องเพี้ยนๆ ให้ได้ยินอยู่หลายเรื่อง
เรื่องแรก นโยบายการแจกเงินดิจิทัล 500,000 ล้านบาท ของรัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นพรรคแกนนำ เริ่มต้นวางแผนกันว่าจะแจกเงินดิจิทัลโดยใช้ระบบบล็อกเชน (Block chain) คือคิดสร้างเงินสกุลใหม่ขึ้นมา แต่ถูกธนาคารแห่งประเทศไทยบล็อกเสียก่อนว่ารับแบบนี้ไม่ได้ และได้แนะว่าถ้าไม่แจกเงินธรรมดา ยังจะแจกเงินดิจิทัลอยู่ก็ให้ใช้ระบบเป๋าตัง (Wallet) ของธนาคารกรุงไทย
เจอเข้าแบบนี้ คนต้นคิดของรัฐบาลก็คอตก เหตุเพราะอะไรคงไม่ต้องพูด แต่ที่จะใช้ระบบเป๋าตังโดยรัฐบาลต้องกู้เงินมาหนุนถึง 500,000 ล้านบาท เกือบเท่างบขาดดุลงบประมาณ 693,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567 ทำให้ธนาคารชาติ หรือ ธปท.ต้องสะดุ้ง และคิดทบทวนกันกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืน ก็สรุปออกมาว่าจะก่อผลเสียมากกว่าผลดี
แม้กระทั่ง ป.ป.ช.ก็อุตส่าห์ลงมาดูกับเขาด้วย แล้วก็ให้ความเห็นที่ทำให้รัฐบาลนี้ขยับไม่ออก คงทำได้อย่างเดียวแบบที่ทุกๆ รัฐบาลนิยมใช้ คือ ตั้งคณะอนุกรรมการชุดแล้วชุดเล่าไปดูไม่รู้จบ แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่จะเก็บเข้าตู้เย็นง่ายๆ นะครับ เพราะผู้คนทั้งที่มีความรู้และไม่รู้เรื่องต่างก็สนใจกันมาก คงจะจบเฉยๆ โดยไม่ต้องเสียต้นทุนคงจะยากเสียแล้ว
เรื่องที่สอง การกดดันให้ ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งท่านนายกฯ ทั้งในสถานะรัฐมนตรีคลังด้วย ได้ใช้ความพยายามอย่างมากผลักดันให้ท่านผู้ว่า ธปท.ลดดอกเบี้ย ซึ่งจริงๆ การพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยของ ธปท.
ไม่ใช่ผู้ว่าการฯ จะพิจารณาได้คนเดียว มันจะต้องผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีกรรมการ 7 ท่าน และจะพิจารณาตามระยะเวลาการประชุมที่ชัดเจนปีละ 6 ครั้ง นี่คือกฎเกณฑ์ที่นักธุรกิจ นักลงทุน และนักการเมือง ทั้งในประเทศและนอกประเทศเขารู้กันทั่ว
แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านนายกฯ ก็ออกมาให้ความเห็นอีกว่าลดสัก 0.25% ได้ก็จะดี ล่าสุดถึงกับเรียกร้องให้กำหนดวันประชุม กนง.เป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ได้ออกความเห็นเข้าข้างท่านนายกฯ ว่า GDP ไทยไม่โตดังที่คิด ตรงกันข้ามกลับต่ำกว่าที่เคยตั้งเป้าหมายไว้อีก ท่านก็บอกว่า ถ้า ธปท.จะช่วยลดดอกเบี้ยลงก็คงจะช่วยเศรษฐกิจให้โตขึ้นได้
นี่ก็เป็นเรื่องเพี้ยนทางเศรษฐกิจที่ขำไม่ออกเสียจริงๆ ประเทศนี้ทั้งนักการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่รู้เรื่องดอกเบี้ย แล้วยังกระเสือกกระสนมาให้ความเห็นต่อประชาชน ท่านไม่รู้เลยหรือว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยทางการของประเทศที่มีระบบการเงินเกี่ยวพันกับนานาประเทศมาก ถึงขนาดเงินบาทนั้นเป็นที่ยอมรับกว้างขวาง สามารถถือไปชำระค่าสินค้าได้ในหลายประเทศทั่วโลกนั้น
ธนาคารกลางได้วางแนวปฏิบัติที่เป็นเรื่องเป็นราวไว้ดี เวลาจะขึ้นหรือจะลดดอกเบี้ยไม่มีประเทศไหนมาชี้แนะหรือก้าวก่ายได้ แต่ธนาคารชาติเขาต้องดูเวลาที่เหมาะสม
การปรับดอกเบี้ยทางการของประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาจะปรับกันเป็นขาขึ้นและขาลง ไม่ใช่ถูกกดดันแล้วจะปรับลดลงสัก 0.25% เพื่อเอาใจนักการเมือง แล้วอีก 2 เดือนค่อยปรับขึ้นกันใหม่ เขาไม่ทำกันแบบนี้ครับ
อย่าลืมนะครับว่าสิ่งเพี้ยนๆ ที่ผู้ใหญ่ของเราพูดกันนั้น มันออกเป็นข่าวให้นักลงทุนในต่างประเทศได้ยินกันหมด แล้วผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็เกิดขึ้น อย่าไปโทษ กลต.แต่ผู้เดียว
เรื่องที่สาม รัฐบาลไม่สนใจการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คงจำกันได้ว่าประเทศต้องสูญเสียเวลานานร่วมครึ่งปี ในการสรรหาแล้วแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศ จนเกิดภาวะสุญญากาศในการจัดทำงบประมาณประจำปี 2566/2567 หรืองบปี 2567
ดังนั้น แทนที่งบปี 2567 จะออกมาและมีผลในการบังคับใช้ในเดือน ต.ค.2566 ตามปฏิทินงบประมาณ ปรากฏว่าถึงขณะนี้ผ่านมาจะครบ 5 เดือนแล้ว งบประมาณซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารประเทศยังอยู่ในขั้นแปรญัตติในสภาผู้แทนราษฎรและในรัฐสภาควบคู่กันไป คาดว่าจะออกมาใช้ได้ไม่เร็วกว่าเดือน พ.ค. ซึ่งจะทับซ้อนกับการเตรียมงบประมาณใหม่ปี 2568
พูดให้คนของประเทศอื่นฟัง เขาคงงงกับกระบวนการบริหารเศรษฐกิจแบบไทยๆ ถ้ารู้ว่างบปี 2567 จะล่าช้าอย่างน้อย 8 เดือน หรือสองในสามของปี จากจำนวนงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท ที่เป็นงบประจำ
เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าวัสดุ ก็ยังคงเบิกใช้ไปพลางก่อนได้ แต่งบลงทุนจำนวนถึง 717,000 ล้านบาท ไม่สามารถเบิกใช้ได้เลย อย่างดีที่ได้ยินรัฐมนตรีหลายท่านพูดถึงโครงการต่างๆ ตอนนี้แต่ก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น
ทำให้การคลังของประเทศทุกวันนี้มีเงินคงคลังสูงมาก ธนาคารก็มีสภาพคล่องล้นมาก และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็สูงมากติดอันดับ 14-15 ของโลก แต่ประชาชนยังยากจนเหมือนเดิม เศรษฐกิจก็ถูกนักการเมืองหาว่าวิกฤติ ทั้งที่ GDP โตร่วม 2% เพราะการท่องเที่ยวช่วยไว้ ถือว่าเพี้ยนแล้วแต่ยังพออยู่ได้
แต่ในสภาพที่ประเทศมีเงินเหลือเฟือแบบนี้ ยังมีข่าวเล็ดลอดมาให้ได้ยินว่ากระทรวงการคลังกำลังถูกสั่งให้หาโครงการเพื่อนำไปขอกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้สักหนึ่งพันล้านดอลลาร์ นี่มันจะเพี้ยนไปถึงไหนกันครับ