เปิดใจ 'พิชิต​' 16 ปี ขมขื่นถูกตราหน้าทนายหิ้วถุงเงิน วงจรอุบาทว์ล้มนายกฯ

เปิดใจ 'พิชิต​' 16 ปี ขมขื่นถูกตราหน้าทนายหิ้วถุงเงิน วงจรอุบาทว์ล้มนายกฯ

"พิชิต​" ท้าดวล 40 สว.​ตัวต่อตัว​ ลั่น"นายกฯ"ไม่เกี่ยว​ รับ​ ขมขื่นถูกตราหน้าไอ้ทนายหิ้วถุงเงิน ​ ยัน​มีคุณสมบัติครบ มองถูกวงจรอุบาทว์เล่นงานหวังล้มรัฐบาล พร้อมลาออกถ้ายุติปัญหาได้​ ประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ

21 พ.ค.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต​ ชื่นบาน​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่​ 40 สว.ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องในวันพฤหัสบดี ที่ 23 พฤษภาคมนี้ ว่า

การชี้แจงวันนี้เป็น ตนพูดในฐานะที่เป็นตัวของตัวเอง​ จากกรณีที่​ 40 สว.ไปยื่น​ร้องผ่านประธานวุฒิสภา​ เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี สว.หลายฝ่ายออกมาท้วงติงถึงประเด็นความชอบธรรมและอำนาจตามกฎหมาย แต่สิ่งที่ตนจะชี้แจงในวันนี้ในฐานะที่ตนทำงานแบบมืออาชีพ จะขอพูดถึงนายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรี ที่จะตั้งคณะรัฐมนตรี​ หรือปรับคณะรัฐมนตรี ตนมองว่าท่านไม่ได้มีความผิดอะไร มาเอาเรื่องท่านทำไม ซึ่งนายเศรษฐา​ไม่ได้ทำอะไรผิดแผกแตกต่าง​จากนายกฯคนอื่นในอดีต

การจะตั้งคณะรัฐมนตรี​ บุคคลที่มีชื่อเป็นรัฐมนตรี เช่น ตนจะต้องไปกรอกเอกสารเพื่อ รับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม​ ซึ่งทุกอย่างมีกระบวนการ​ ซึ่งตนก็ต้อง ไปกรอกข้อมูลว่ามีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม เมื่อกรอกเสร็จ​ ถามว่านายกฯจะเชื่อหรือไม่​ ท่านก็ไม่เชื่อ​ แต่จะมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน โดยจะมีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานมืออาชีพ​ ช่วยใครไม่ได้​ และไม่มีทางช่วยตน​

เมื่อรับเอกสารบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีก็จะไปตรวจสอบ ส่งเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ป.ป.ช. กรมบังคับคดี มีวิธีการตรวจว่าผู้ใดทำผิดประมวลกฎหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่​ จะมีอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร​ เวลาที่เขาประมวลว่าใครซื่อสัตย์​ มีจริยธรรมหรือไม่​  ไม่ได้ดูเพียงสำนักงานกฤษฎีกาเพียงอย่างเดียว​  ในฐานะที่ตนกำกับก็ต้องออกมาให้ความเป็นธรรมกับเขา ว่าต้องดูทุกเรื่อง อะไรที่ถือเป็นข้อสงสัยก็จะถามไปยังกฤษฎีกา​ 

"ท่านเศรษฐาตั้งใจทำงาน พูดจากใจ ​อยู่ตรงจุดนี้​พูดไม่อายว่า ผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ และเคยเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯมาแล้ว​ จึงอยากให้เอาความจริงมาพูดกัน​ ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง" นายพิชิตกล่าว

นายพิชิต​ ยังระบุอีกว่า​ นายกฯ​ ทำตามกระบวนการทางกฎหมายและสุดท้ายก็จะมาสรุปว่าตกลงตั้งใครได้หรือไม่ได้​ หากตั้งไม่ได้ก็ไม่ฝืนตั้ง​ ก็ต้องทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล ตนไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร​ ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้น คนนี้ มาพร้อมสติปัญญามีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิด​ ทำชั่ว​ คงไม่มายืนตรงจุดนี้ พร้อมขอให้นายเศรษฐา​ ได้ปฏิบัติหน้าที่​ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ที่ท่านแถลงไว้ตอนรัฐสภา​ 

ขณะเดียวกัน นายพิชิต​ ยังระบุอีกว่า​ โดยกระบวน ท่านไม่มีสิทธิ์ใช้ดุลยพินิจคิดเองทำเอง  ตนทำงานกับนายกรัฐมนตรีมา 6-7 เดือนไม่เคยประจบสอพลอ​  ตนอยู่กับเนื้องาน​ และท่านก็ดูตน ก็พอรู้นิสัยใจคอของ นายเศรษฐา​ว่าเป็นคนตรงไปตรงมา​ แม้ท่านอยากจะตั้งตนแทบตาย แต่หากมีปัญหาก็ตั้งไม่ได้​ ต้องเอาหัวใจมาพูดกัน พร้อมกับระบุว่า​ การตั้งคณะรัฐมนตรีในครั้งแรก ตนเคยถอนตัวไม่รับตำแหน่ง อยากให้บ้านเมืองเดินหน้า เมื่อฟอร์มรัฐบาลเรียบร้อยแล้วอยากใช้ตนทำงาน ก็ตั้งให้ตนเป็นรัฐมนตรี  

ส่วนประเด็นจริยธรรม​ นายพิชิต​ ขอให้ไปดูช่องทางทางกฎหมาย​ มีคำพิพากษา​ ศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานแล้ว หากกฎหมายเป็นกฎหมายบ้านเมือง​ มีหลักนิติธรรม​ ขอให้ไปดูว่าอยู่ช่องไหน ซึ่งตนต้องขอขอบคุณ 40  สว. และขออโหสิกรรม ตนชอบใจมากเพราะสิ่งที่ตนถูกกระทำ​ ตั้งแต่ปี 2551 ตนโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต  ก่อนตัดสินใจเป็นรัฐมนตรี​

ตนคิดแม้กระทั่งว่าหากไปอยู่ในสภาถูกตั้งกระทู้ถาม ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนสามารถตอบคำถามได้ทุกคำถาม ตอบข้อสงสัยต่างๆ เพราะฉะนั้นการที่ตนได้มีโอกาส หลังถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม​ ควรเป็นกรณีศึกษา​  แต่ถูกศาลเดียวตัดสินแล้วจบเลย​ ทั้งที่พระธรรมนูญ​ ศาลยุติธรรมบัญญัติไว้ว่าศาลมี 3 ชั้นศาลเวลานักการเมืองมีปัญหาถูกพิจารณาคดี​ ต่อสู้คดีได้ 2 ชั้นศาล  ตนเป็นทนายความ ไปขึ้นว่าค​วามศาลเดียวจบ

นี่คือความขมขื่นในใจ​ ซึ่งตนไม่ได้โกรธอะไร​ 40 สว.​ ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ให้โอกาส และมั่นใจว่าหลักนิติธรรม​และความเป็นธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญมี ตนไม่หวั่นไหว เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร​ แต่คำวินิจฉัย​ของ​ศาลฎีกาไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ​ ตนรอจังหวะยิงลูกนี้มานานแล้ว ถ้าศาลรัฐธรรมนูญได้ยึดหลักนิติธรรมพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีใหม่ แต่เป็นโอกาสในชีวิตของตนที่จะได้เริ่มต้นใหม่ ตอนนี้ไม่หวั่นไหวอะไร

"เพราะฉะนั้นประเด็นตามคำสั่งศาลฎีกา​ หากมีตรงไหนที่เขียนว่าผมเป็นคนที่หิ้วถุงเงิน 2 ล้านผมพร้อมลาออกวันนี้เลย​ ไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ​วินิจฉัย หลายคนว่ากล่าวติติงเป็นไอ้ทนายหิ้วถุงเงิน​ 2 ล้าน​ พูดเหมือนคนไร้สติ​ ไม่มีเหตุไม่มีผล"นายพิชิต กล่าวและว่า

ประเทศเป็นระบบประมวลกฎหมาย หากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ​ ย่อมไม่มีอำนาจ การไต่สวนวิธีพิจารณา เรื่องละเมิด อำนาจศาล​ ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ในคดีอาญา​ก็ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก​ อะไรที่กฎหมายพิจารณาความอาญา ไม่บัญญัติไว้ ก็จะบอกให้เอาวิธีพิจารณาความแพ่ง ใช้บังคับโดยอนุโลม เช่นเดียวกัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และอาญา​ไม่เคยบัญญัติ ว่า ให้เอาประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายสาระบัญญัติ มาใช้ในการพิจารณา พิพากษาคดี ถ้าหาแล้วมี ว่าให้เอามาตรา 83 มาใช้ ตนจะลาออกวันนี้เช่นกัน นี่คือความเก็บกด ที่ตนโหยหาความยุติธรรม

นายพิชิต​ ยังระบุอีกว่า​ ในวันที่ตนเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง เคยบอกกับสื่อมวลชนว่าตัวเบาหวิว หมายถึงใจมันว่าง เพราะนามสกุลชื่นบาน ตนก็ทำงาน พร้อมขอให้ไปดูคำสั่งของศาลฎีกา

"ผมติดใจ​ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาทั้งชีวิต ตั้งแต่ปี 2551 เอามาเขียนใส่ได้อย่างไร เพราะผมไม่ได้มีการกระทำอะไรเลยในการถือเงิน​ และในคำสั่งศาลฎีกามีอยู่คำหนึ่ง ระบุว่า ผมน่าจะรู้ ซึ่งถือเป็นข้อสงสัย​ เหตุใดจึงไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย​ แค่น่าจะก็ขังผมแล้ว จึงคาใจคดีอาญา​ และขังเต็มพิกัด 6 เดือน​ ซึ่งมองว่าเป็นเพียงสมมติฐาน​ คิดเอาเองไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน ว่าพิชิตถือถุงเงิน ก็ไปตั้งข้อสันนิษฐานกัน วันนี้จะอยู่หรือจะไปไม่ได้ยึดติดอะไร ผมต่อสู้กระบวนการยุติธรรม​ และความเป็นธรรมในชีวิต "นายพิชิต กล่าวและว่า

ตอนตนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ปี 6 เดือน รัฐธรรมนูญปี 2550 มีบทบัญญัติการถอดถอนเรื่องจริยธรรม​ แต่กลับไม่ถูกตรวจสอบขณะนั้น แต่กลับมาตรวจสอบตอนนี้

ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์​  สุจริต​ อยากถามว่าวัดกันตรงไหนถามกฤษฎีกาก็ตอบไม่ได้ แต่เคยมี ข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่ในปัจจุบันพูดถึงเรื่องนี้ การเขียนคำว่าซื่อสัตย์สุจริตเป็นประจักษ์​ เป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาทางการเมือง ขอให้ไปดูว่าใครพูดไว้ในที่ประชุมกรรมมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ วัดไม่ได้เป็นนามธรรม​ พิสูจน์กันอย่างไรว่าใครซื่อสัตย์​ 

ขณะเดียวกัน นายพิชิตยังมองว่า​  เป็นวาระวงจรอุบาทว์ ท่านบริหารประเทศอยู่ดีๆ​ แล้วทำให้เกิดการกระทำอย่างนี้​ ให้ผู้นำประเทศต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ด้วยวิธีการเช่นนี้​ ตอนนี้เพื่อนอยู่ในสว.ตนรู้รายละเอียดการกระทำ จึงขอความเป็นธรรม​ พูดกันดีๆ​ ก่อนยื่น พฤติกรรมอย่างไรคนของใครทำอะไรตนไม่ขอพูด พร้อมขอบคุณนายเสรี​ สุวรรณ​ภา​นนท์​  สว.​ที่ออกมาพูดเรื่องจริง และการมาเปิดใจในวันนี้ไม่กังวลอะไรสบายๆ

ส่วนข่าวลือเมื่อวานนี้เรื่องลาออกจากตำแหน่ง​ นายพิชิตกล่าวยืนยันว่า  ไม่ยึดติดผลประโยชน์​ ตน​ยึดมั่นของรัฐธรรมนูญ​มาตรา​ 164 ว่าเป็นรัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์สุจริต​ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ตนมาทำงานไม่ได้มาโกง​ เพราะฉะนั้นคำตอบแก้วงจรอุบาทว์ ถ้ามองว่าพิชิตลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนก็จะทำให้  ขอพูดต่อหน้าพระสยามเทวาธิราช ในองคาพยพกระบวนการยุติธรรม ให้ไปคิดมา โจทย์ที่เกิดวงจรอุบาทว์​ นี่เป็นเกมการเมืองที่พยายามล้มนายเศรษฐา​  

เมื่อถามตอบว่าหากลาออกแล้วจะทำให้นายเศรษฐาสามารถอยู่ต่อได้จะทำหรือไม่​ นายพิชิต​ ระบุว่า​ อันนี้ตนถึงบอกว่ามีเงื่อนไข​ เพราะวงจรอุบาทว์​เล่นแบบนี้​  วันนี้บ้านเมืองปกติ​ มีนายกฯ​แล้วทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง​ ไม่มีนายกฯ​ พร้อมกับยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เราไม่อยากทำให้นายกรัฐมนตรีหนักใจ

เมื่อถามว่าจะไม่ลาออกก่อนถึงวันที่ 23 พ.ค.ใช่หรือไม่ นายพิชิต ไม่ตอบคำถามนี้ แต่ระบุว่า "บางคนก็อยากให้ผมอยู่บางคนก็อยากให้ผมออก แต่ผมอยากจะขอโยนโจทย์ไปว่า บ้านเมืองผมไม่ได้ดูแลคนเดียว ผมจึงใช้คำว่าวงจรอุบาทว์​  พร้อมขอให้มาดวลกับพิชิตคนเดียว​ เอานักกฎหมายมา 3 คน​ และ​ 40 สว.​ แบบตัวต่อตัว​ ที่ลงชื่อไปอ่านคำสั่งศาลฎีกาแล้วหรือไม่​ และไม่ขอก้าวล่วงไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของ 40 สว..  แต่มีกระบวนการ"

​เมื่อถามว่าเป็นกระบวนการ ต้องการล้มนายกฯใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่ท ตนไม่ขอกล่าวหาแต่ข้อมูลเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามอีกว่าวงจรอุบาทว์ หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าใช่หรือไม่ นายพิชิตระบุว่าไม่ขอตอบคำถามนี้ ให้พิจารณากันเอาเอง

ส่วนการปล่อยข่าวว่านายพิชิต​ ลาออกจากตำแหน่งจะเป็นการเจาะยางรัฐบาลหรือไม่ก็ขอให้ไปคิดกันเอาเอง